รามเกียรติ์ 220
ท้าวสหัสดชะ และอุปราชมูลพลัมหยุดตั้งขบวนศึกเป็นรูปพญานาคเพื่อคอยทัพวานรออกมาเผชิญหน้า พระรามตื่นจากบรรทมได้ยินเสียงพลยักษ์อึกทึกจึงเรียกพิเภกคนสนิทเข้ามาปรึกษาว่าครานี้เป็นนายทัพแห่งลงกาตนใดยกพลมา พิเภกทูลตามที่ตนคำนวณเวลานาที “ครั้งนี้มิใช่เป็นหน่อเนื้อเชื้อแห่งพญาทศกัณฐ์ หากแต่เป็นพญามูลพลัมผู้เป็นสหายรัก และที่สำคัญทัพนี้ยังมีท้าวสหัสเดชะเจ้าเมืองปางตาลผู้สามารถเหนืออสูรตนใด… ครานี้เห็นทีพระองค์ต้องเสด็จนำทัพด้วยองค์เอง” พระรามสั่งให้พญาสุครีพนายพลใหญ่จัดทัพทันที สุครีพมอบหมายให้หนุมานเป็นกองหน้า องคตเป็นเกียกกายคอยตีซ้ำ ผู้นำทัพหลวงคือพระราม นิลนนท์เป็นยกกระบัตร โคมุทเป็นกองหลัง ไพร่พลทั้งปีกซ้ายขวาอาวุธครบมือ นั่งหมอบเฝ้ารอเสด็จองค์รามข้างราชรถ
พระรามพระลักษณ์เข้าสรงน้ำ แต่งกายด้วยชุดกษัตริย์รัดกุม คว้าศรคู่กายแล้วก้าวขึ้นรถทรงนำขบวนทัพอันมีกองพลที่ฮึกเหิม ขวัญกำลังใจของพลลิงแต่ละตัวยอดเยี่ยมมากเพราะรบกับยักษ์ทีไรนายชนะทุกที เมื่อถึงสมรภูมิเหล่าวานรที่เคยดูคึกคักกลับหยุดชะงักตัวชาขาสั่นเพราะเห็นร่างกายอันใหญ่โตราวเขาอัศกรรณของสหัสเดชะ
เหล่าพลลิงแตกฮือวิ่งหนีเข้าป่าพงเพราะเกรงกลัวต่อความน่าเกรงขามของพญายักษ์พันหน้าที่ถืออาวุธครบทั้งสองพันมือ นายทัพชั้นผู้ใหญ่อย่างสุครีพและหนุมานยังไม่สามารถต้อนทหารของตนให้กลับเข้าขบวนได้ ขณะนี้นอกจากพี่น้องรามลักษณ์ก็มีเพียงสุครีพ หนุมาน องคต ชมพูพาน วานรสิบแปดมงกุฎและพิเภกเท่านั้นที่กล้ายืนประจันหน้ากับกองทัพแห่งปางตาล
พระรามเอ่ยถามที่ปรึกษาด้วยความประหลาดใจ “ท่านพิเภก ที่ผ่านมากองทัพของเรารบกับพญามารมานักต่อนัก เหล่าทหารหาได้เกรงกลัวเช่นนี้ไม่ แต่ทำไมคราวนี้ไพร่พลถึงได้พากันตื่นกลัวแก่กองทัพยักษ์นี้นัก” พิเภกทูลอย่างผู้รู้ “นายทัพกองนี้คือท้าวสหัสเดชะกษัตริย์แห่งเมืองปางตาล
มีฤทธิ์แก่กล้าเป็นที่เกรงใจในหมู่มาร แถมยังได้พรจากองค์พรหมว่าหากจะเข้ารุกรานใคร เหล่าศัตรูจะต้องเกรงกลัวในบารมีจนมิกล้าสู้กับท้าวเธอ” พระรามเข้าใจสาเหตุทั้งหมด หันไปรับสั่งให้พระอนุชาและเหล่าทหารตามเข้าป่าไปต้อนฝูงลิงที่หนีทัพให้กลับมา