รามเกียรติ์ 229
สารัณทูตผู้มีหน้าที่รายงานทุกการศึกเห็นสองจอมมารตายคาตา จึงขึ้นม้าควบเข้าลงกา กราบทูลทศกัณฐ์ผู้ชะเง้อรอฟังข่าวดีว่าสหัสเดชะฆ่าพี่น้อรามลักษณ์ได้สำเร็จ “อ้าว เจ้าม้าเร็วรีบว่ามา ข้าต้องเตรียมตัวไปรับเสด็จองค์สหัสเดชะเมื่อไหร่ หรือมูลพลัมสหายข้าจะมาถึงก่อนแล้ว” สารัณทูตไม่กล้าสบตานาย กลั้นใจกราบทูลตามที่เห็น “อันองค์สหัสเดชะและพญามูลพลัม ได้พลีชีพเพื่อพระองค์แล้วในสนามยุทธ” ทศกัณฐ์ถึงกับตัวชา อึ้งนิ่งคิด คิดกลับไปกลับมาว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ลิงป่ามีเล่ห์เหลี่ยมขนาดทำให้สองจอมอสูรต้องตายตามกันไปเลยหรือ ตลอดทั้งวันไม่มีเสียงใดๆจากองค์ราชาแห่งลงกา ยักษ์ชราได้แต่นั่งนิ่งมิไหวติงดั่งขาดความรู้สึก “หมดแล้วสินะ หนทางที่จะต่อกรกับพวกศัตรู ลงกาคงถึงกาลสิ้น ณ รัชสมัยของข้า…. เสนาอำมาตย์ พวกเจ้าคิดการอย่างไรจงบอกข้าที” คำพูดของราชาบัดนี้ช่างไร้น้ำหนักดั่งผู้ท้อถอย
แต่อยู่ดีๆก็มีเสียงหนึ่งมาจากเหล่าเสนาอสูรที่หมอบกราบคอยงาน “ข้าบาทเห็นว่ายังมีสุริยวงศ์กษัตริย์ อีกพระองค์หนึ่งซึ่งมีความสามารถยิ่ง ท่านผู้นั้นคือพระเจ้าหลานเธอ แสงอาทิตย์ บุตรของพญาขร อนุชาของพญามังกรกัณฑ์ บัดนี้ท่านครองเมืองโรมคัล ราชาหนุ่มผู้นี้มีความสามารถมิแพ้พระเชษฐาผู้เสียทีแก่ศรพระรามเมื่อครั้งก่อน ข้าบาทคิดว่าน่าจะเชิญพระเจ้าหลานเธอพระองค์นี้มาช่วงการศึกแห่งลงกา”
ทศกัณฐ์กลับนั่งตรงอย่างมีความหวังอีกครั้ง “เอาหละนนทการ เจ้าจงไปเชิญแสงอาทิตย์ หลานเรามาโดยด่วน” นนทการน้อมรับพระเสาวณี (ในฉบับของร. 2 ทศกัณฐ์ใช้ให้มโหทรไปเชิญแสงอาทิตย์) นนทการเหาะข้ามทะเลสู่แผ่นดินใหญ่จนมาถึงเมืองโรมคัล ตรงเข้ากราบทูลพระเสาวนีของท้าวทศกัณฐ์ต่อพญาแสงอาทิตย์
น้อมเศียรประณตบทบงสุ์ องค์แสงอาทิตย์ยักษา
บัดนี้สมเด็จพระบิตุลา ให้ข้ามาเฝ้าบทมาลย์
ด้วยศึกทั้งสองมนุษย์นั้น ยังติดพันรบหนักหักหาญ
ผู้ใดออกไปต้านทาน ก็วายปราณด้วยมือไพรี
ทั้งองค์อินทรชิตเชษฐา พญามังกรกัณฐ์ยักษี
ยกพลโยธาออกต่อตี ก็สุดสิ้นชีวีลงด้วยกัน
เชิญเสด็จพระองค์ไปเฝ้า พระปิ่นเกล้าจอมภพรังสรรค์
จะปรึกษาสงครามล้างมัน ให้ทันรุ่งเช้าเวลาฯ พระราชนิพรธ์ในร. 1