ในกรณีที่ของใหม่มาก ๆ ประมาณว่าเพิ่งตั้งขึ้นเป็นครั้งแระ หรือ เป็นกองทุนที่ไม่มี master fund(ถ้าเป็น FIF) อาจจะต้องพิจารณาให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยดูจากคนที่มาเป็นผู้จัดการกองทุน สอบถามถึงประวัติการบริหารกองทุนเดิม หรือ ถ้าเป็นไปได้ ให้ “รอดูผลงานการลงทุน” ก่อนที่จะลงทุน ตราบใดที่เงินยังอยู่ในมือเรา มันไม่ได้หายไปไหนครับ ดังนั้น ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามกว่าแน่นอนในกรณีนี้
ส่วนถ้าเป็นกองทุนที่เป็น FIF และมีกองทุน Master Fund แล้วละก็ ก็ให้ไปย้อนดูว่า กองทุน Master Fund นั้น มีประวัติอย่างไร บริหารได้ดีไหม
อย่าลืมว่า กองทุนต่างประเทศแบบนี้ มีค่าธรรมเนียม 2 ต่อ (ทั้งในและต่างประเทศ) มีเรื่องค่าเงินเข้ามาเกี่ยวด้วย และ กองทุนในไทยที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกทีนั้น บางทีก็มีการดำเนินนโยบายไม่เหมือนกับกองทุน Master Fund ในต่างประเทศก็เป็นไปได้ครับ ดังนั้น ผลตอบแทนของกองทุนในไทยนั้น อาจจะได้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าที่เห็นในกองทุน Master Fund ในต่างประเทศก็เป็นไปได้ครับ ดูดี ๆ นะครับ
ผมคิดว่าสิ่งสำคัญของการลงทุน ไม่ใช่เพียงแค่ปล่อยให้เป็นภาระแก่ผุ้จัดการกองทุนในการบริหารเงินลงทุนของเรา เพราะว่า ผู้จัดการกองทุนเอง ก็ยังผิดพลาดได้ครับ
การลงทุนเองก็มีความเสี่ยงที่ไม่ว่าใครก็ต้องเจอต่อให้เป็นคนเก่งมีประสบการณ์ก็ตามที่ ดังนั้นนักลงทุนเองก็ต้องระมัดระวังการลงทุน อย่าใจร้อน และต้องคอยติดตามการลงทุนด้วยนะครับ
นี่ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นนะครับ อันนี้เป็นเรื่อง ผมเชื่อว่าหลายคนรักพี่เสียดายน้อง กองทุนประเภทเดียวกัน เช่นกองทุนหุ้น ก็มีหลายกองทุน กองทุนตราสารหนี้ก็มีหลายกองทุน เพราะว่าใคร ๆ ก็บอกว่ากองทุนนั้นดี กองทุนนี้ดี และเราก็ลงทุนโดยกลัวที่จะเสียโอกาส ซึ่ง ไม่ใช่หลักการลงทุนที่ดีเลย
ลองนึกดูง่าย ๆ นะครับ อย่างกองทุนหุ้นเอง บางกองทุนก็ไปลงทุนในหุ้นตัวเดียวกัน ยิ่งเราซื้อกองทุนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสซ้ำกันเท่านั้นครับ เช่นกองทุนAA อาจจะมีหุ้น 30 ตัว ซึ่งซ้ำกับกองทุน BB ประมาณ 10 ตัว เรามีกองทุนแบบนี้มากขึ้น 5 กองทุน หุ้นที่อยู่ในกองทุนก็ซ้ำกันเกิน 30 กองทุนแล้วครับ ซึ่งถ้าพิจารณาดี ๆ เราไปลงทุนในกองทุน SET50 หรือ กองทุนแบบ Passive Fund อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมแพง ๆ นั่นเองครับ
แนวคิด และวิธีการแก้ไข
เลือกองทุนที่ดี ที่เราชอบมาเพียง 2 กองทุนต่อประเภทกองทุน ก็เพียงพอแล้ว เช่นกองทุนหุ้น 2 กองทุน กองทุนตราสารหนี้ 2 กองทุน ซึ่งถ้าจะให้กระจายความเสี่ยงมากขึ้น ก็ให้เราเลือกกองทุนที่มีสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกัน เช่นกองทุนนึงเน้น Buy and Hold อีกกองทุนเน้นการซื้อ-ขาย เป็นต้น
- เพิ่มเงินลงทุนมากขึ้นเฉพาะตอนที่กองทุนมีกำไร
แน่นอนครับ ใคร ๆ ก็อยากที่จะรวยเร็ว รวยแรง รวยสุด ๆ แต่การทุ่มเงินลงทุนมากเกินความจำเป็นก็อาจจะทำให้ เราผิดพลาดได้เช่นกัน โดยคนส่วนใหญ่มักจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากขึ้น เมื่อเห็นว่ากองทุนที่ตนเองลงทุนอยู่นั้น เริ่มทำผลตอบแทนได้ดี ได้สูงมากขึ้น
ผลก็คือได้ของแพงจำนวนมากมาอยู่ในมือ ประกอบกับในขณะนั้น อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ราคาหุ้นที่อยู่ในกองทุนขึ้นมามากจนถึงจะอิ่มตัว หรือ มากกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก ๆ แน่นอนว่ามีโอกาสที่กองทุนจะปรับตัวลดลงมาได้มากเช่นกันครับ สุดท้ายเราก็เกิดอาการ หรือ สภาวะติดดอย และเป็นดอยที่สูงเสียด้วยครับ T-T
แนวคิด และวิธีการแก้ไข
เนื่องจากการลงทุนกับกองทุน ไม่เหมาะกับการเก็งกำไรเสียเท่าไหร่ เนื่องจากมีค่าใช้จ่าย หรือ ค่าธรรมเนียมค่อนข้างแพง ถ้ามีการซื้อ-ขายบ่อย ๆ ก็อาจจะไม่คุ้มค่าในการลงทุน ดังนั้นก็ควรที่จะคิดเสมอว่า การลงทุนในกองทุนอาจจะไม่ทำให้เรารวยเร็ว รวยแรงได้ แต่การลงทุนในกองทุนนั้นเหมาะกับการลงทุนระยะยาวครับ เมื่อนักลงทุนเลือกกองทุนที่ถูกใจได้แล้ว จะแบ่งเป็น 2 กรณี
3.1 ถ้าลงทุนเป็นเงินก้อน ให้มีการจัดพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม เพื่อที่จะทำให้ผลตอบแทนโดยรวมไม่ผันผวนมากนัก และควรมีการทำ rebalancing พอร์ตการลงทุน อยู่ทุก ๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี
3.2 ถ้าลงทุนแบบทยอยลงทุน ให้ทำการ DCA กองทุนรวมหุ้นที่เราสนใจจะทำให้เราได้ราคาเฉลี่ยที่ดี และช่วยให้ง่ายต่อการวางแผนการเงิน ให้บรรลุตามเป้าหมายได้ดีอีกด้วย แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยวินัยในการลงทุนอย่างมาก และใช้เวลานาน
- ชอบซื้อกองทุนออกใหม่
เดี๋ยวนี้มีกองทุนออกมาใหม่กันมากมาย หลายคนก็มักจะชอบกองทุนที่ออกมาใหม่ โดยเฉพาะกองทุนแบบ FIF
เนื่องจากมีการโปรโมทจาก บลจ. และส่วนใหญ่ก็มักจะมีมุมมองทางเศรษฐกิจมาส่งเสริมให้ดูน่าลงทุนกับกองทุนใหม่ ๆ ก็ทำให้นักลงทุนหลายท่าน แห่กันไปซื้อกองทุนที่เปิดใหม่เหล่านี้ โดยไม่ได้พิจารณาถึงความเสี่ยง หรือ ลงทุนทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าใจว่ากองทุนนั้นไปลงทุนกับหุ้น หรือสินทรัพย์อะไรบ้าง ทำให้หลาย ๆ ครั้ง ลงทุนไปแล้ว เกิดอาการติดดอย (อีกแล้ว)
แนวคิด และวิธีการแก้ไข