เลือกกองทุนอะไรดี รู้คำตอบง่ายๆ ใน 5 นาที

ปัจจุบันนั้นการเงินรุ่นใหม่มีความเปิดกว้างในการลงทุนมากขึ้น หลายคนก็เลือกจะต่อยอดเงินทุนของตัวเองด้วยกองทุนรวม แต่เราจะเลือกกองทุนอะไรดี? ที่เหมาะกับตัวเอง Plan Your Money มีหลักการง่ายๆ 2 อย่าง ที่ทำให้คุณรู้คำตอบใน 5 นาที มาฝากกันครับ

jumbo jili

หลักการนั้นคือหนึ่งในคำสอนของซุนวู “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” นั่นเอง
รู้เรา : รู้จักตัวเอง มีปัจจัย 4 อย่าง
รู้เขา : รู้จักสิ่งที่เราจะลงทุน มีปัจจัย 3 อย่าง
มารู้จักกับการเลือกกองทุนแบบ 4 รู้เรา 3 รู้เขา ตามหลักพิชัยสงครามกันเลยครับ
รู้เรา : รู้จักตัวเอง

  1. รู้เป้าหมายการลงทุนชัดเจน
    คุณเคยมีความฝันมั้ย?? อยากเที่ยวต่างประเทศ อยากมีล้านแรก อยากมีบ้าน อยากมีรถ เป้าหมายที่ฝันไว้จะไปไม่ถึงเลยถ้าเพียงคิดขึ้นมาลอยๆ ถ้าอยากทำฝันให้เป็นความจริง ลอง “แปลงฝันให้เป็นเป้าหมาย” โดยตอบตัวเองให้ได้ว่าเราออมไปเพื่ออะไร และกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนตามหลัก SMART ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ทำอย่างไร ระยะเวลาเท่าไหร่ และวิธีไหนที่ให้ถึงเป้าหมาย

สล็อต

  1. รู้ความเสี่ยงที่รับได้
    ความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนอดทนได้มาก บางคนอดทนได้น้อย ประกอบด้วยปัจจัยหลายข้อ พิจารณาจากอายุ ความรู้ความสามารถ รายได้ แต่ไม่ได้มีเพียงปัจจัยเพียงเท่านี้ ความเสี่ยงยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่างโดยคุณสามารถประเมินความเสี่ยงของตัวเองอย่างง่ายๆ ที่ แบบประเมินความเสี่ยงเพื่อการลงทุน เพื่อเป็นปัจจัยในการประเมินการซื้อกองทุนในเวลาต่อไปครับ
  2. รู้ระยะเวลาในการลงทุน
    ระยะเวลาการลงทุนเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญเพราะการกำหนดระยะเวลาการลงทุนมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายของตัวเองโดยจะบริหารพอร์ต เลือกลงทุนให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่ต้องใช้เงินตามเป้าหมายที่วางไว้ครับ
  3. รู้เงินลงทุนที่มี
    ว่าเรามีเงินลงทุนตั้งต้นเท่าไหร่เพื่อที่จะไปถึงจุดหมายที่ตั้งไว้แต่ถ้าไม่มีเงินลงทุนตั้งต้นเลยก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะแน่นอนว่ากองทุนเป็นการลงทุนที่เงินเพียงหลักพันก็สามารถเริ่มลงทุนได้ แต่คงดีกว่าถ้าเรามีการปรับสัดส่วนการลงทุนให้พอดีกับการใช้เงินของตัวเอง ไม่ถึงกับลงทุนเกินตัวจนเกินไปหรือลงทุนน้อยเกินไป การลงทุนที่ดีต้องดูด้วยว่าการลงทุนในจำนวนเงินที่ไม่ทำให้เราเดือดร้อนด้านการเงินและพร้อมที่จะเก็บออมให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ

สล็อตออนไลน์

คำถาม “กองทุนอะไรดี” ของแต่ละคนนั้นจะได้คำตอบแตกต่างกันแทบทุกครั้งที่เอ่ยถามนั่นล่ะครับ เพราะการ “รู้เรา” ของทุกคนนั้นไม่มีใครเหมือนกันเลย
รู้เขา : รู้จักสิ่งที่เราจะลงทุน

  1. รู้ความเสี่ยงสินทรัพย์ที่จะลงทุน
    นอกจากต้องรู้ความเสี่ยงของตัวเองดังที่กล่าวไป ในตอนนี้เราก็ต้องรู้ความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ต้องการจะลงทุน โดยแบ่งง่ายๆ โดยดูจากปิรามิดการลงทุน ยิ่งความเสี่ยงสูงก็มีโอกาสที่จะเสียเงินต้นสูง แต่ก็มีโอกาสที่จะทำกำไรสูงเช่นเดียวกัน
    ปิรามิดการลงทุน

jumboslot

  1. รู้กระจายการลงทุน
    จากที่กล่าวไปข้างต้น การลงทุนความเสี่ยงต่ำมีโอกาสที่จะรักษาเงินต้นได้มากกว่า แต่แน่นอนว่าอาจทำให้ได้เงินคืนมาน้อย จนไม่สามารถสู้กับเงินเฟ้อได้ ดังนั้นเราควรรู้จักการกระจายการลงทุนไปหลากหลายสินทรัพย์ (Asset Allocation) แทนการทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดไปในการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง หรือแค่กองใดกองหนึ่งแค่เพียงอย่างเดียว เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและยังช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่เหมาะกับเราโดยจัดพอร์ตการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเอง
  2. รู้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
    ยิ่งลงทุนยิ่งต้องศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ตนเองลงทุน เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจง่ายขึ้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดเงิน ตลาดทุน และมีความมั่นใจ สามารถลงทุนได้กว้างและหลากหลายกองทุนมากขึ้น รวมถึงถ้าลงทุนในกองทุนรวมก็ต้องศึกษาเพิ่มเติม ทั้งเรื่องของ นโยบายการลงทุน สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ ความเสี่ยง ค่าธรรมเนียม ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เพื่อนำมาพิจารณาเลือกกองทุนรวมที่จะลงทุน

slot

แล้วเราจะลงทุนกองทุนอะไรดี
ในระดับเริ่มต้นรับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำกองทุนรวมตราสารหนี้รูปแบบต่างๆ ครับ ซึ่งจะเป็นกองทุนความเสี่ยงต่ำไปจนถึงปานกลาง มีโอกาสทำกำไรได้บ้างและโอกาสสูญเสียเงินต้นต่ำ

หากรับความเสี่ยงได้มากขึ้นอาจแบ่งการลงทุนมาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นเพิ่มเติม เพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้มากขึ้น และเสริมด้วยการศึกษาการลงทุนรูปแบบอื่นควบคู่กับการปรับพอร์ตเป็นระยะๆ

ถ้าคุณต้องการเริ่มต้นการลงทุนด้วยกองทุนที่สามารถปรับระดับการลงทุนได้ ครอบคลุมความเสี่ยงหลายระดับ กองทุนรวมผสมก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจครับ พร้อมปรับระดับการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ง่าย ครบ จบในกองทุนเดียว

จากคำถามที่ว่าลงทุนกองทุนอะไรดี จะพบว่าไม่ว่าจะเป็นการลงทุนแบบไหนย่อมต้องมีการวางแผนการลงทุนที่ดีก่อนทั้งนั้น

โดยคุณสามารถเริ่มต้นวางแผนหรือปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนได้ง่ายขึ้นด้วยการใช้ Krungsri Mobile Application (KMA) ที่เมนู Smart Advisor ซึ่งเป็นตัวช่วยที่จะทำให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้น หรือปรึกษากับเจ้าหน้าที่กรุงศรี Plan Your Money ได้ที่เบอร์ 1572 กด 5 จ.-ศ. เวลา 9.00-17.00 หรือติดต่อทางเว็บไซต์ Plan Your Money กรอกชื่อ เบอร์โทรให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับครับ

ซื้อหุ้นเองหรือซื้อกองทุนหุ้น

ช่วงสิ้นปีเป็นฤดูกาลซื้อ กองทุนหุ้นรวม เพื่อลดภาษี หากคุณยังไม่ได้ซื้อ ตอนนี้ยังพอมีเวลา หากมีเงินเหลือ ซื้อในช่วงเวลาที่หุ้นตกก็น่าสนใจเช่นกันเพราะราคาก็จะลดลงไปด้วย บทความนี้จะเปรียบเทียบการให้เห็นว่า ซื้อหุ้นเองหรือซื้อกองทุนหุ้นรวม แบบไหนดีกว่ากัน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และพร้อมสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน ติดตามกันเลย

jumbo jili

เมื่อคุณคิดจะซื้อกองทุนหุ้นรวม
ข้อดีของการซื้อกองทุนหุ้นรวมก็คือ คุณไม่ได้ซื้อแต่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างหุ้น หรือตราสารหนี้ ฯลฯ แต่คุณกำลังซื้อความสามารถในการเลือกสินทรัพย์ของผู้จัดการกองทุน และนโยบายการลงทุน ดังนั้น หากคุณคิดจะซื้อกองทุนหุ้นรวม สิ่งที่ต้องศึกษา หรือต้องรู้ก็คือ ใครกำลังบริหารสินทรัพย์ของกองทุนอยู่ และมีนโยบายการลงทุนอย่างไร

สำหรับคำตอบของคำถามที่ว่า ใครกำลังบริหารสินทรัพย์ของกองทุนอยู่ เราสามารถเข้าไปหาข้อมูลโดยตรงได้ที่เว็บไซต์ของกองทุนนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี ที่มีข้อมูลที่น่าสนใจมากมายไม่ว่าจะเป็น มูลค่าหน่วยลงทุน ผลการดำเนินงานของกองทุน และนโยบายการลงทุน เป็นต้น

สล็อต

หากคุณไม่เก่งเรื่องหุ้น ไม่มีเวลาศึกษาจริงจัง การซื้อกองทุนหุ้นรวมถือเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด จากสถิติของคนเล่นหุ้น โอกาสที่จะชนะตลาดได้ต่อเนื่องยาวนานมีเพียง 10% และไม่เกิน 20% ส่วนที่เหลือมักจะขาดทุน หากคุณไม่แน่ใจว่าเก่งมากพอ หรือไม่มีแววของการเป็นนักเล่นหุ้นที่จะประสบความสำเร็จได้ เลือกซื้อกองทุนหุ้นรวมจะดีกว่ามาก เพราะนอกจากผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนหุ้นรวมจะไม่ขี้เหร่ (ปกติตกราว 5-10%) เรายังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเป็นจำนวนสูงสุดถึง 5 แสนบาท (ขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละบุคคล) ไม่เลวทีเดียว!
เมื่อคุณคิดจะเล่นหุ้นเอง

สล็อตออนไลน์

เมื่อคุณคิดจะเล่นหุ้นเองแทนการลงทุนในกองทุนหุ้นรวม… สิ่งที่ควรรู้ไว้ก่อนก็คือ คนเล่นหุ้นที่สามารถชนะตลาดได้เป็นเพียงคนส่วนน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีชนะตลาดหุ้น หรือเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น วิธีที่จะทำให้การเล่นหุ้นเป็นสิ่งที่ทำให้เงินเรางอกเงยได้จริง มีดังต่อไปนี้
ซื้อหุ้นดีแบบถัวเฉลี่ย หรือ Dollar Cost Average (DCA) วิธีนี้เหมาะสำหรับมือใหม่ สำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นหุ้น เพราะการหาหุ้นดีนั้นไม่ยาก หุ้นที่แข็งแกร่งอย่างหุ้นค้าปลีก หุ้นโรงพยาบาล หุ้นห้างสรรพสินค้าดี ๆ เป็นเรื่องที่ดูง่าย แต่การกะเก็งกำไรจากหุ้นพวกนี้ถือเป็นเรื่องที่ยาก ดังนั้น เราเพียงแค่เลือกหุ้นดี ๆ และซื้อเฉลี่ยไปทุก ๆ เดือนโดยไม่สนใจราคา จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มากทีเดียว

jumboslot

ซื้อหุ้นที่มีเงินปันผลคุ้มค่ากว่าการฝากธนาคาร วิธีนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนเชิงรับ คือ ไม่ได้อยากจะเก็งกำไรราคาหุ้น หรือหวังส่วนต่างราคาหุ้น เพราะคนส่วนใหญ่ที่เก็งกำไร คอยหวังส่วนต่างราคาหุ้นมักจะแพ้ (ไม่เชื่อลองถามคนเล่นหุ้นข้าง ๆ คุณดู) แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป้าหมายเป็นซื้อเพื่อหวังเงินปันผล จะทำให้เราเห็นหุ้นดี ๆ ในราคาที่เหมาะสมได้ไม่ยาก เพราะเงินปันผลจะเป็นตัวกรองชั้นดีที่ทำให้เราซื้อหุ้นในราคาที่ถูกต้อง โดยวัดจากเปอร์เซ็นต์การปันผลที่ได้นั่นเอง

slot

ซื้อหุ้นตอนที่ตลาดตกต่ำ วิธีการนี้เป็นเรื่องที่ยากที่สุด เนื่องจากภาวะตลาดตกต่ำนั้นอาจจะยาวนานกว่าที่เราคิด วิธีการลงทุนแบบนี้ เราไม่ต้องไปจับจ้องตลาดตลอดเวลา ให้เอาเวลาไปหาเงิน เก็บเงินเอาไว้ พอตลาดตกต่ำค่อยกลับมามอง และเลือกหุ้นอย่างใจเย็น
อย่างไรก็ตาม การซื้อหุ้นเองถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง แม้จะลองใช้วิธีการที่นำเสนอข้างต้นเพื่อลดความเสี่ยง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จ ที่สำคัญ การซื้อหุ้นเองนั้นเราไม่สามารถเอาไปลดหย่อนภาษีได้เหมือนการถือกองทุนหุ้นรวม ถ้าคิดว่ายังไม่พร้อม การซื้อกองทุนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนหุ้นรวม และให้นักลงทุนมืออาชีพบริหารเงินให้เราถือเป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณมั่นใจในฝีมือ ซื้อหุ้นเองไปเลยก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดครับ

เรื่องสำคัญก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนรวม

ช่วงที่ผ่านมา 2-3 ปีมานี้ ผมเริ่มเห็นหลายคนสนใจในการลงทุน เนื่องจากเหตุผลสำคัญคือเรื่องการสร้างผลตอบแทนให้กับเม็ดเงินเพิ่มมากขึ้น ในสภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำ

jumbo jili

แน่นอนว่ากองทุนรวมถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการลงทุนที่มีมืออาชีพมาคอยจัดการ โดยนำเงินของเรานั้น ไปลงทุนไม่ว่าจะเป็นเงินตั้งแต่หลักไม่กี่ร้อยบาทจนไปถึงเงินหลักหลายล้านบาท

ทั้งนี้ กองทุนรวมเหมาะสำหรับตั้งแต่มือใหม่ที่กำลังเริ่มต้นการลงทุน จนไปถึงนักลงทุนมือเก๋า นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นว่ากองทุนรวมจำนวนหลายกองให้ผลตอบแทนที่ดีไม่น้อย

อย่างไรก็ดี แต่ก่อนที่เราจะลงทุนในกองทุนรวมนั้น เราควรทำความรู้จักกับปัจจัยสำคัญ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เพื่อทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ลดโอกาสที่จะสูญเสียผลตอบแทนในระยะยาวครับ

  1. เข้าใจสินทรัพย์กับความเสี่ยง

ก่อนที่เราจะลงทุนในกองทุนรวมนั้นจะต้องเข้าใจถึงสินทรัพย์แต่ละชนิดที่เราจะลงทุนว่ามีข้อดีข้อเสีย รวมถึงความเสี่ยงต่างกันอย่างไร ไล่ตั้งแต่สินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำไปสูงคือ เงินฝากธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชน หุ้นบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ทองคำ ซึ่งความเสี่ยงของแต่ละสินทรัพย์ไม่เท่ากัน และยังรวมถึงความผันผวนของราคา เช่น เงินฝากนั้นเราจะเห็นว่าความเสี่ยงที่เงินฝากจะทำให้สูญเสียผลตอบแทนนั้นโอกาสต่ำมากเมื่อเทียบกับหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ความผันผวนของราคา ส่งผลทำให้มีโอกาสที่จะให้สูญเสียผลตอบแทนสูงกว่าเมื่อเทียบเงินฝาก

อีกเรื่องที่อยากจะเน้นย้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนมือใหม่ คือการลงทุนผ่านกองทุนรวมจะมีการทำแบบประเมินความเสี่ยงของผู้ลงทุนในครั้งแรกในเวลาเปิดบัญชีลงทุนในกองทุนรวม ฉะนั้นเวลาทำแบบประเมินนั้นควรที่จะประเมินตามความเป็นจริง เพราะในแบบประเมินการลงทุนนั้นหลังจากที่เราประเมินเสร็จก็จะมีรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับเราจริงๆ

สล็อต

  1. เข้าใจเรื่องเป้าหมายการลงทุนของตัวเราเอง

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญของการลงทุนเลยทีเดียว เนื่องจากก่อนที่เราจะลงทุนเราต้องเข้าใจก่อนว่าเราลงทุนไปนั้นเพื่อจะนำเงินไปทำอะไร ยกตัวอย่างเช่น เก็บเงินไว้ใช้ยามชรา หรือนำเงินไปท่องเที่ยว

เราจะเห็นว่าจุดประสงค์การลงทุนนั้นจะถือว่าแตกต่างกัน ซึ่งถ้าหากเราเก็บเงินไว้ใช้ยามแก่ เม็ดเงินดังกล่าวก็ควรที่จะลงทุนกับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น หุ้นต่างประเทศ เป็นต้น แต่ถ้าเราจะเก็บเงินไปท่องเที่ยว สินทรัพย์ที่เหมาะกับการลงทุนก็ควรจะเป็นสินทรัพย์ที่คุ้มครองเงินต้นของเรา เช่น เงินฝาก ซึ่งถ้าหากเราไม่เข้าใจเป้าหมายการลงทุนอาจก่อให้เกิดความผิดพลาด ส่งผลกระทบต่อการลงทุน

  1. เข้าใจสไตล์การลงทุนของกองทุนที่เราลงทุน

เมื่อเราพอเข้าใจเป้าหมายที่เราจะลงทุนแล้วนั้น ขั้นตอนนี้ก็คือการเลือกกองทุนที่เราจะลงทุน แม้ว่าแต่ละกองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์เหมือนๆ กัน แต่แนวทางการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (หรือ บลจ.) ที่นำเงินเราไปบริหารเองนั้นก็อาจมีแนวทางแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเน้นการลงทุนระยะสั้นๆ ตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 1 ปี ระยะกลางตั้งแต่ 3-5 ปี จนไปถึงระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป

ขณะที่บางกองทุน อาจมีเงื่อนไขไม่ให้เราสามารถขายหน่วยลงทุนกองทุนออกมา เช่น 3-6 เดือน ทำให้เราต้องนำปัจจัยดังกล่าวมาพิจารณาให้เหมาะสมกับการลงทุนของเราด้วยเช่นกันว่านโยบายการลงทุนของแต่ละแห่งนั้นเหมาะสมหรือไม่

นอกจากนี้ กองทุนบางกองทุน มีนโยบายจ่ายปันผลกำไรที่กองทุนทำได้ออกมา แต่บางกองทุนไม่จ่ายปันผลออกมา เพียงแต่จะนำเงินดังกล่าวกลับไปลงทุนอีกรอบ ซึ่งผู้อ่านจะต้องพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย

สล็อตออนไลน์

สำหรับข้อมูลเงื่อนไขการลงทุนของแต่ละกองทุนเราสามารถอ่านได้จากสิ่งที่เรียกว่า “หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ” สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เราต้องการจะลงทุนในกองทุนที่เราสนใจ

  1. อย่าลืมตรวจสอบ “ค่าธรรมเนียมกองทุน” จุดชี้เป็นชี้ตายการลงทุน

เรื่องสำคัญไม่แพ้กันและจะมีผลชี้เป็นชี้ตายการลงทุนคือเรื่องของค่าธรรมเนียมกองทุนซึ่งอยู่ใน “หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ” ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้กองทุนจะหักออกจากหน่วยลงทุน โดยค่าใช้จ่ายนี้จะนำไปให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซึ่งเป็นคนนำเงินของเราไปลงทุนนั่นเอง ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าธรรมเนียมซื้อ-ขาย ค่าธรรมเนียมการบริหาร ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับนายทะเบียนหรือผู้ดูแลผลประโยชน์

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายของกองทุนเหล่านี้ก็จะมากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่ประเภทของสินทรัพย์ จนไปถึงความซับซ้อนของกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งถ้าซับซ้อนมาก ค่าธรรมเนียมส่วนใหญ่ก็จะแพงมากขึ้นตามไปด้วย

เมื่อไม่นานมานี้ ผมเคยนั่งอ่านหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญของบางกองทุนในไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งกองทุนหลายๆ กองทุนมีค่าธรรมเนียมกองทุนสูงมาก แต่ผลงานของกองทุนกลับทำได้น่าผิดหวัง เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน บางกองทุนที่ค่าธรรมเนียมสูง แต่ทำผลงานได้ดีในหลายสิบปีเลยทีเดียวก็มี ซึ่งเราจะต้องอ่านรายละเอียดค่าธรรมเนียมของกองทุนให้ดี รวมถึงเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ กับดัชนีชี้วัดที่กองทุนนำมาเปรียบเทียบว่าผลงานของผู้จัดการกองทุนที่เรากำลังจะลงทุนนั้นดีแค่ไหน

jumboslot

ย้ำครับว่า อย่าปล่อยให้กองทุนที่ค่าธรรมเนียมแสนแพง แต่ผลงานของกองทุนที่สุดแสนจะย่ำแย่มาทำลายการลงทุนของคุณ เพราะเท่ากับว่าเรากำลังประเคนเงินให้กับผู้จัดการกองทุนที่ไม่เก่งครับ

  1. อย่าลืมติดตามข่าวสารและตรวจสอบการลงทุนให้สม่ำเสมอ

แม้ว่าเราจะลงทุนในกองทุนรวมโดยที่มีมืออาชีพมาช่วยจัดการด้านการลงทุนแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดีเราเองก็จะต้องหมั่นติดตามข่าวสารสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหากเราลงทุนในกองทุนประเภทเป็นสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น น้ำมัน ทองคำ เพราะว่าสินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนกับเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก

การติดตามข่าวสารการลงทุนเราอาจไม่ต้องถึงขั้นอ่านข่าวเศรษฐกิจหรือต่างประเทศแทบจะทุกวันก็ได้ครับ แต่อย่างน้อยๆ ถ้าหากเราลงทุนแล้ว ก็ควรจะติดตามอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราจะเห็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนของไทยหลายแห่งมีการสรุปข่าวเศรษฐกิจ หรือปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนประจำสัปดาห์แบบสั้นๆ ไม่ยาวมาก เราควรเสียเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย

slot

สำคัญอย่างมาก ถ้าหากเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ เช่น หุ้นต่างประเทศที่ปัจจุบันกองทุนเหล่านี้กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นในไทย ในแต่ละเดือนนั้นกองทุนเหล่านี้ มักจะมีบทสรุปการลงทุนของกองทุนที่ไปลงทุนว่าได้ลงทุนอะไรไปบ้าง หรือปรับพอร์ตการลงทุนอะไรไปแล้วบ้าง

การที่เราเข้าใจข่าวสารการลงทุนจะทำให้เราเข้าใจถึงภาพรวมการลงทุนที่ดี ส่งผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนได้ดีมากขึ้น

ปัจจัยทั้งหมด 5 ข้อที่กล่าวมานั้นหวังว่าจะช่วยให้การลงทุนในกองทุนรวมของท่านเติบโตมากขึ้น และสนุกกับการลงทุนในกองทุนรวมที่ปัจจุบันมีหลากหลายสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศครับ

วิธีเลือกกองทุนดัชนี

หากคุณไม่แน่ใจว่าจะเลือกกองทุนดัชนีที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณอย่างไร ขอให้คุณพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้

jumbo jili

รูปแบบการลงทุน หากคุณต้องการลงทุนเพื่อการเติบโตในระยะยาว การลงทุนดัชนีหุ้นดูจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากคุณต้องการความมั่นคง คุณอาจเลือกลงทุนในดัชนีตราสารหนี้

ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คุณยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ความเสี่ยงเฉพาะของกองทุนมีอะไรบ้าง กองทุนดัชนีนี้ตอบโจทย์ความต้องการลงทุนไหม

ค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมเวลาซื้อกองทุนแพงไหม แล้วเวลาขายกองทุนจะโดนหักเยอะมั้ย ค่าใช้จ่ายกองทุนถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับกองทุนดัชนีอื่น

วิธีดูว่ากองทุนใดเป็นกองทุนดัชนี

หากคุณสงสัยว่ากองทุนที่คุณดูอยู่เป็นกองทุนดัชนีหรือไม่ คุณเพียงแค่คลิกดูหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ หากกลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุนเป็นดังที่แสดงในภาพด้านล่างแล้วล่ะก็ กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนดัชนี

ในกรณีที่คุณคลิกหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม หากนโยบายการลงทุนเป็นแบบภาพด้านล่างล่ะก็ กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนดัชนี

สล็อต

สรุป

กองทุนดัชนี (Index Fund) คือกองทุนรวมหรือกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนเลียนแบบดัชนีอ้างอิง เช่น SET50, S&P500 และ DJIA เป็นต้น

กองทุนดัชนีใช้ลงทุนเชิงรับที่มีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด พูดง่าย ๆ คือ หากดัชนีวิ่งขึ้น 5% กองทุนดัชนีควรจะวิ่งขึ้นให้ได้ใกล้เคียง 5% มากที่สุด

กองทุนดัชนีมาพร้อมกับความเสี่ยงต่ำ ค่าใช้จ่ายต่ำ ผลตอบแทนระยะยาวและเหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ แต่นักลงทุนก็ต้องยอมรับการขาดความยืดหยุ่น ผลตอบแทนที่จำกัดและการยอมรับว่าผลตอบแทนอาจเบี่ยงเบนจากดัชนีอ้างอิง (มากกว่าหรือน้อยกว่าดัชนีอ้างอิง)

สล็อตออนไลน์

กองทุนดัชนีมีต้นทุนการบริหารต่ำกว่ากองทุนแบบ Active Fund เพราะกองทุนดัชนีเพียงแค่เลียนแบบการลงทุนแบบเดียวกับดัชนี ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องจ้างบุคลากรในการค้นหาหลักทรัพย์แต่อย่างใดและดัชนีมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบไม่กี่ครั้งต่อปี ทำให้กองทุนดัชนีมีจำนวนธุรกรรมน้อยครั้งกว่า

ขณะที่กองทุนแบบ Active Fund จำเป็นต้องจ้างทีมงานค้นคว้าหาหลักทรัพย์ที่ใช่เข้ากองทุน ทำให้มีการทำธุรกรรมบ่อยครั้งกว่าและค่าใช้จ่ายสูงกว่า

ค่าใช้จ่ายของกองทุนดัชนีต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่กองทุนแบบ Active Fund มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1% จนถึง 2.5%

ค่าใช้จ่ายที่น้อยลง = จำนวนเงินลงทุนมากขึ้น = $$$ ที่มากขึ้นนั่นเอง

ความเสี่ยงต่ำ

jumboslot


เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน การกระจายการลงทุนสินทรัพย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ปัญหาคือนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มีเงินมากพอที่จะกระจายการลงทุน ทำให้กองทุนดัชนีเป็นตัวเลือกที่ดีในการกระจายการลงทุน เพราะคุณสามารถลงทุนในสินทรัพย์นับร้อย นับพันรายการด้วยเงินเริ่มต้นหลักร้อยเท่านั้น

ผลตอบแทนน่าสนใจ

ถึงแม้ดัชนีจะมีขึ้นลงตามหลักทรัพย์ที่อ้างอิง แต่ในระยะยาวแล้ว กองทุนดัชนีสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนแบบ Active Fund

ข้อเสียของกองทุนดัชนี

ขาดความยืดหยุ่น

slot


เพราะกองทุนดัชนีจำเป็นต้องลงทุนเลียนแบบดัชนีอ้างอิง ทำให้ยามดัชนีอ้างอิงเป็นบวก คุณจะเห็นตัวเลขสีเขียวพร้อมรอยยิ้ม แต่หากดัชนีอ้างอิงดิ่งลงอย่างรุนแรง กองทุนดัชนีก็ดิ่งทะลุนรกไม่ต่างกัน คุณจะเห็นตัวเลขสีแดงบาดจิตบาดใจและทำอะไรไม่ได้ ยกเว้นแต่ขายออก (พร้อมผลขาดทุนยับยู่ยี่)

ผลตอบแทนจำกัด

เพราะเป้าหมายของกองทุนดัชนีคือการทำผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงให้มากที่สุด โอกาสที่คุณจะได้รับผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดจึงแทบจะเป็นศูนย์ ซึ่งแตกต่างจากกองทุนแบบ Active Fund ที่เน้นการทำผลตอบแทนมากกว่าตลาด (แต่ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดเช่นกัน)

Tracking Error

Tracking Error คือความเสี่ยงที่ผลตอบแทนของกลุ่มการลงทุนจะเบี่ยงเบนจากดัชนีอ้างอิง หรือก็คือกองทุนดัชนีจะทำผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงแค่ไหน ซึ่งคุณควรเลือกลงทุนกองทุนดัชนีที่มี Tracking Error ต่ำ

กองทุนดัชนี

หากคุณต้องการลงทุนแต่ไม่มีความรู้ ไม่มีเวลาติดตามและมีเงินลงทุนจำกัด การลงทุนในกองทุนดัชนีเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจของคุณ

jumbo jili

คุณอยากทราบว่ากองทุนดัชนีคืออะไร ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในกองทุนดัชนี และคุณจะเลือกกองทุนดัชนีที่ตอบโจทย์ความต้องการลงทุนอย่างไร

บทความนี้มีคำตอบครับ

กองทุนดัชนีคืออะไร

กองทุนดัชนี (Index Fund หรือ Tracker Fund) คือกองทุนรวมหรือกองทุนอีทีเอฟ (กองทุนรวมที่จดทะเบียนบนตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งซื้อขายแบบเดียวกับหุ้น) ที่จัดกลุ่มการลงทุนตามหรือเลียนแบบดัชนีอย่างเช่น

iBoxx ABF Thailand Index คือดัชนีชี้วัดผลตอบแทนตราสารหนี้ภาครัฐ ตัวอย่างเช่น ABFTH (กองทุนดัชนีพันธบัตรแรกของไทย)

SET50 คือดัชนีที่แสดงระดับราคาหุ้น 50 ตัวที่มีมูลค่าตามราคาตลาดและสภาพคล่องในการซื้อขายสูงสุด 50 อันดับแรก ตัวอย่างเช่น K-SET50, T-SET50, SCBSET50 เป็นต้น

S&P500 คือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่วัดผลการดำเนินงานของ 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนบนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่น SCBS&P500, TMBUS500, TISCOUS เป็นต้น

สล็อต

พูดง่าย ๆ คือ “ดัชนีมีอะไร กองทุนดัชนีก็มีตามนั้น” แต่ไม่เป๊ะ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะจำเป็นต้องกันเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง

กองทุนดัชนีใช้การลงทุนแบบเชิงรับ ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด เช่น หากดัชนี A วิ่งขึ้น 3% กองทุนที่อ้างอิงดัชนี A ควรจะต้องวิ่งขึ้นใกล้เคียงกับดัชนี A มากที่สุดจึงจะถือว่าดี

แตกต่างกองทุนแบบ Active Fund (เน้นการลงทุนเชิงรุก) ที่มีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าตลาด แต่ความจริงที่น่าตกใจคือ กองทุนแบบ Active Fund ส่วนใหญ่ทำผลงานย่ำแย่กว่ากองทุนดัชนีเสียอีก!

ข้อดีและข้อเสียของกองทุนดัชนี

ข้อดี ข้อเสีย
ต้นทุนต่ำ ขาดความยืดหยุ่น
ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนจำกัด
ผลตอบแทนน่าสนใจ Tracking Error
เหมาะกับนักลงทุนหน้าใหม่
ข้อดีของกองทุนดัชนี

สล็อตออนไลน์

ต้นทุนต่ำ

กองทุนดัชนีมีต้นทุนการบริหารต่ำกว่ากองทุนแบบ Active Fund เพราะกองทุนดัชนีเพียงแค่เลียนแบบการลงทุนแบบเดียวกับดัชนี ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องจ้างบุคลากรในการค้นหาหลักทรัพย์แต่อย่างใดและดัชนีมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบไม่กี่ครั้งต่อปี ทำให้กองทุนดัชนีมีจำนวนธุรกรรมน้อยครั้งกว่า

ขณะที่กองทุนแบบ Active Fund จำเป็นต้องจ้างทีมงานค้นคว้าหาหลักทรัพย์ที่ใช่เข้ากองทุน ทำให้มีการทำธุรกรรมบ่อยครั้งกว่าและค่าใช้จ่ายสูงกว่า

ค่าใช้จ่ายของกองทุนดัชนีต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่กองทุนแบบ Active Fund มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1% จนถึง 2.5%

ค่าใช้จ่ายที่น้อยลง = จำนวนเงินลงทุนมากขึ้น = $$$ ที่มากขึ้นนั่นเอง

ความเสี่ยงต่ำ

jumboslot

เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน การกระจายการลงทุนสินทรัพย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ปัญหาคือนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มีเงินมากพอที่จะกระจายการลงทุน ทำให้กองทุนดัชนีเป็นตัวเลือกที่ดีในการกระจายการลงทุน เพราะคุณสามารถลงทุนในสินทรัพย์นับร้อย นับพันรายการด้วยเงินเริ่มต้นหลักร้อยเท่านั้น

ผลตอบแทนน่าสนใจ

ถึงแม้ดัชนีจะมีขึ้นลงตามหลักทรัพย์ที่อ้างอิง แต่ในระยะยาวแล้ว กองทุนดัชนีสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนแบบ Active Fund

ข้อเสียของกองทุนดัชนี

ขาดความยืดหยุ่น

slot

เพราะกองทุนดัชนีจำเป็นต้องลงทุนเลียนแบบดัชนีอ้างอิง ทำให้ยามดัชนีอ้างอิงเป็นบวก คุณจะเห็นตัวเลขสีเขียวพร้อมรอยยิ้ม แต่หากดัชนีอ้างอิงดิ่งลงอย่างรุนแรง กองทุนดัชนีก็ดิ่งทะลุนรกไม่ต่างกัน คุณจะเห็นตัวเลขสีแดงบาดจิตบาดใจและทำอะไรไม่ได้ ยกเว้นแต่ขายออก (พร้อมผลขาดทุนยับยู่ยี่)

ผลตอบแทนจำกัด

เพราะเป้าหมายของกองทุนดัชนีคือการทำผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงให้มากที่สุด โอกาสที่คุณจะได้รับผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดจึงแทบจะเป็นศูนย์ ซึ่งแตกต่างจากกองทุนแบบ Active Fund ที่เน้นการทำผลตอบแทนมากกว่าตลาด (แต่ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดเช่นกัน)

Tracking Error

Tracking Error คือความเสี่ยงที่ผลตอบแทนของกลุ่มการลงทุนจะเบี่ยงเบนจากดัชนีอ้างอิง หรือก็คือกองทุนดัชนีจะทำผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงแค่ไหน ซึ่งคุณควรเลือกลงทุนกองทุนดัชนีที่มี Tracking Error ต่ำ

วิธีออมเงินให้งอกเงย

จากผลกระทบโควิด-19 ทำให้หลายคนประสบปัญหาด้านการเงิน โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยวางแผนด้านการเงินมาก่อน หรือแม้บางรายพอมีเงินเก็บแต่ก็อาจไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีพ ดังนั้นเราจึงควรลงทุนสร้างผลตอบแทนให้งอกเงยขึ้นด้วย

jumbo jili

แต่สำหรับคนที่มีเงินออมต่อเดือนน้อย อยากให้ลองเริ่มต้นเพียงเดือนละ 1,000 บาท เพราะเงินจำนวนแค่นี้ ก็สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้แล้ว ดีกว่าฝากออมทรัพย์ธรรรมดาที่มีดอกเบี้ยแค่ 0.25% หรือรับดอกเบี้ยแค่ 2.5 บาทเท่านั้น

โดยสำนักข่าว”อีไฟแนนซ์ไทย” ได้รวบรวม 7 วิธีออมให้เงินงอกเงยได้ แค่มีเงินเริ่มต้นเพียง 1,000 บาทไว้ดังนี้

  1. บัญชีเงินออมดิจิทัล

บัญชีเงินออมดิจิทัลหรือเข้าใจง่ายๆ คือบัญชีออมทรัพย์แบบไม่มีสมุดคู่ฝาก(Book Bank) ซึ่งบัญชีดังกล่าวจะได้รับดอกเบี้ยประมาณ 0.5-1.5% สามารถฝาก ถอน โอนได้ ผ่านระบบออนไลน์ โดยในหลายธนาคารไม่มีเงื่อนไขขั้นต่ำในการฝาก เหมาะสำหรับคนที่ไม่มั่นใจว่าจะมีวินัยในการเก็บอย่างสม่ำเสมอ แต่อยากได้ดอกเบี้ยมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งอย่างน้อยๆ เงินเริ่มต้นแค่ 1,000 บาท หากคิดดอกเบี้ย 0.5% จะได้ดอกเบี้ยแล้วประมาณ 5 บาท

สล็อต

2.เงินฝากประจำแบบปลอดภาษี

บัญชีเงินฝากประจำแบบปลอดภาษี ปัจจุบันเริ่มต้นเงินฝากขั้นต่ำตั้งแต่ 500 หรือ 1,000 บาท มีอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงประมาณ 1.25-2.30% ซึ่งต้องฝากเงินอย่างสม่ำเสมอทุกเดือนในจำนวนที่เท่ากัน มีกรอบเวลา 24 เดือน หรือ 36 เดือน ข้อดีคือไม่ต้องเสียภาษี แต่จำกัดการเปิดบัญชี 1 คนต่อ 1 บัญชีเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้เริ่มออม อยากฝึกวินัยไม่ชอบเสี่ยงและมีเงินไม่มาก ได้ครบทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย

คิดง่ายๆ หากเราออมเงิน 1,000 บาท ครบ 24 เดือน ปกติเงินต้นเพียง 24,000 บาท แต่หากฝากประจำแบบปลอดภาษี คิดดอกเบี้ย 2.30% จะได้เงินเพิ่มอีก 552 บาท หรือมีเงินออมเพิ่มขึ้นรวม 24,552 บาท

  1. เงินฝากประจำทั่วไป

บัญชีเงินฝากประจำแบบทั่วไป ปัจจุบันมีเงินขั้นต่ำ 1,000 บาท ก็สามารถเปิดบัญชีฝากได้ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงประมาณ 0.5-1.5% โดยต้องฝากเงินอย่างสม่ำเสมอทุกเดือนในจำนวนที่เท่ากัน มีกรอบช่วงเวลาตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 48 เดือน ขึ้นอยู่กับธนาคารแต่ละแห่งกำหนด เงื่อนไขคือต้องเสียภาษีดอกเบี้ย ณ ที่จ่ายประมาณ 15% แต่ข้อดีคือ 1 คนสามารถเปิดบัญชีประเภทดังกล่าวได้มากกว่า 1 บัญชี เหมาะสำหรับคนเริ่มมีวินัยการออมแล้ว และมีเงินต้นจำนวนมาก แต่ไม่อยากเสี่ยงเสียเงินต้น

สล็อตออนไลน์

  1. สลากออมทรัพย์

หากใครมีเงินเพียง 1,000 บาท แต่สนใจลงทุนในสลากออมทรัพย์ เริ่มต้นได้ที่ ธนาคารออมสิน ,ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยระยะเวลาลงทุนประมาณ 1 ปีขึ้นไป เพื่อลุ้นถูกรางวัลในแต่ละเดือน หรือตามเงื่อนไขของสลากแต่ละรุ่นกำหนด สามารถซื้อเพียงครั้งเดียวหรือเพิ่มหลายครั้ง ซึ่งผลตอบแทนคือลุ้นการถูกสลากรางวัล

โดยกรอบเงินรางวัลมีตั้งแต่ 20 บาท ถึง 10 ล้านบาท เพราะฉะนั้นใครหวังเฮงถูกเงินล้านแบบไม่ต้องเสียเงินต้นแบบลอตเตอรี่ แถมสลากบางรุ่นยังมีดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย สลากออมทรัพย์อาจเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนชอบลุ้น

  1. กองทุนรวม

หากผลตอบแทนที่กล่าวมายังไม่เร้าใจพออยากได้สูงกว่า 2% และพอจะมีความรู้ด้านการลงทุน แต่ไม่มีเวลาบริหารเอง แนะนำกองทุนรวมเพราะมีผู้จัดการกองทุนมาบริการเงินให้ ซึ่งมีกองทุนให้เราเลือกมากมาย ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในตลาดต่างประเทศ ซึ่งบางแห่งมีเงินแค่ 1 บาทก็สามารถลงทุนได้แล้ว

jumboslot

โดยแต่ละกองจะกำหนดเงื่อนไขความเสี่ยงของผู้ลงทุนในระดับที่รับได้ แบ่งเป็น 8 ระดับ มีทั้งเสี่ยงต่ำ ปานกลาง มาก และมากที่สุด โดยแต่ละกองจะอธิบายถึงความเสี่ยง รายละเอียด และผลตอบแทนย้อนหลังให้พิจารณาตามหนังสือชี้ชวน

สำหรับผลตอบแทนบางกองอาจได้กลับมาในระดับ 5-10% ต่อปี เทียบเงินต้น 1,000 บาทจะได้ผลตอบแทนประมาณ 50-100 บาท หรืออาจมากกว่า 50% ต่อปี หรือรับผลตอบแทนเพิ่ม 500 บาท แต่ความเสี่ยงเงินต้นหายก็มีด้วยเช่นกัน

  1. ออมหุ้นไทยแบบ DCA ผ่านโบรกเกอร์

เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการลงทุนหุ้นไทยอย่างสม่ำเสมอ แต่เงินลงทุนและความรู้ยังน้อย โดย DCA คือการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนในหุ้นตัวเดียวกันทุกๆ เดือนหรือสัปดาห์ ตามที่บริษัทหลักทรัพย์(บล.) หรือโบรกเกอร์แต่ละรายกำหนด ทำให้เราสามารถซื้อหุ้นที่มีทิศทางการดำเนินงานดีแต่ราคาสูงได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในกลุ่ม SET 50, SET100 ให้เลือกลงทุน

ซึ่งเงินที่งอกเงยจากการลงทุนมาจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่เพิ่มมากขึ้นและเงินปันผล โดยสถิติข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าการลงทุนหุ้นไทยมีอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี หากคิดผลตอบแทนเงินออมเพียง 1,000 บาท จะมีกำไรแล้ว 100 บาท

slot

  1. ออมทอง

มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่ วลีนี้ยังคงใช้ได้กับสังคมไทย แต่การซื้อเพื่อได้ทองมาครอบครองอาจใช้เงินมากกว่าที่มี ดังนั้นร้านค้าทองหลายแบรนด์จึงออกโปรแกรมออมทอง เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนเงินน้อย ซึ่งผู้ลงทุนสามารถทยอยซื้อสะสม และหากสะสมเงินครบตามราคาสินค้าทอง สามารถแลกรับทองจริงได้ หรือเลือกสะสมเงินต่อเพื่อแลกรับทองขนาดที่ใหญ่กว่า รวมถึงขายเพื่อนำเงินสดออกมาก่อนก็ได้เช่นกัน โดยปัจจุบันสามารถใช้เงินขั้นต่ำ 10 บาทเพื่อออมทองได้ ซึ่งผลตอบแทนช่วงปี 63 ที่ผ่านมาพบว่าหากใครถือครองทองคำต้นปีถึงปลายปีจะได้กำไรประมาณ 20% หรือคิดเงินลงทุน 1,000 บาท จะได้กำไรถึง 200 บาท

ทั้งหมดนี้คือแนวทางการออมสำหรับผู้มีเงินน้อย 1,000 บาท แม้การเริ่มออมจะยากสำหรับใครหลายคน แต่หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านได้ตัดสินใจออมเงินกันง่ายมากขึ้น เพราะเมื่อเราประสบวิกฤตทางการเงิน อาจทำให้การใช้ชีวิตนั้นยากยิ่งกว่า ดังนั้นหากเราเริ่มลงมือ และสร้างวินัยเลือกการออมอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 1 วิธี ก็จะทำให้เราป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ และที่สำคัญอาจทำให้เรารวยได้จากเงินออมเพียงน้อยนิดก้อนนี้