กองทุนติดดาว

ลองนึกเวลาที่เราไปกินอาหารแล้วเราไม่แน่ใจว่าร้านนี้อร่อยมั้ย เราก็จะมองหาเครื่องหมายการันตีความอร่อยอย่าง
“มิชลิน สตาร์ (Michelin Star)” ที่เป็นเครื่องหมายรับรองความอร่อยระดับโลก แต่ในโลกของการลงทุนนั้นถ้าเราอยากดูว่า กองทุนไหนดีหรือไม่ เก่งหรือเปล่า เราสามารถดูได้จาก “Morningstar” ที่ช่วยการันตีความยอดเยี่ยมของกองทุนได้เป็นอย่างดี

jumbo jili

โดยจะมีการแบ่งเกรดตั้งแต่ 1-5 ดาว ยิ่งได้ดาวเยอะ ก็แปลว่ากองทุนรวมนั้นเป็นกองทุนที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับกองทุนที่ได้รับ 4-5 ดาว จาก Morningstar ก็ถือว่าเป็นกองทุนที่ชั้นนำที่เราสามารถเลือกลงทุนได้อย่างสบายอกสบายใจ

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

สำหรับใครที่กำลังมองหา “กองทุนติดดาว” จาก Morningstar เพราะจะทำให้เราสามารถเลือกลงทุนได้แบบสบายใจ พี่ทุยขอแนะนำกองทุนรวมจาก บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) ที่การันตีคุณภาพฝีมือด้วยกองทุนชั้นนำติดดาวมากมาย วันนี้พี่ทุยเลยเลือกกองทุนที่แจ่ม ๆ เด็ด ๆ ชี้เป้ามาให้เลือกลงทุนกันถึง 6 กองทุนเลย

เริ่มต้นกันที่..

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ อินคัมพลัส (SCB Income Plus Fund – SCBPLUS)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: เน้นลงทุนตราสารหนี้ของไทย, ตราสารหนี้ต่างประเทศ, REIT และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
    ระดับความเสี่ยง: ปานกลาง
    Morningstar: 5 ดาว

สล็อต

SCBPLUS เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
พี่ทุยมองว่า SCBPLUS เหมาะกับคนที่ต้องการรายได้อย่างต่อเนื่องและต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น เน้นลงทุนระยะยาวมากขึ้นจาก SCBFP

เนื่องจาก SCBPLUS สามารถซื้อได้ทุกวันทำการ แต่จะขายออกได้ทุก 3 เดือน เนื่องจากตลาดตราสารหนี้มีสภาพคล่องที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นที่เราคุ้นเคย เหตุผลที่ SCBPLUS ต้องกำหนดระยะเวลาขายได้ทุก 3 เดือนก็เพราะจะช่วยทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถลงทุนสินทรัพย์ที่มีระยะยาวมากขึ้นได้ ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตกองทุนได้สูงขึ้น ซึ่งในภาพรวมจะเป็นผลดีกับผู้ลงทุนมากที่สุด

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCB Selects Equity Fund – SCBSE)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้นไทย
    ระดับความเสี่ยง: สูง
    Morningstar: 5 ดาว

SCBSE เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
สำหรับใครที่เป็นแฟนพันธุ์ไทยหุ้นไทย พี่ทุยว่า SCBSE นี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว เนื่องจากจะเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ไม่เกิน 30 ตัว ที่ได้รับการคัดสรรหุ้นชั้นดี โดยทีมผู้จัดการกองทุนระดับมืออาชีพ และที่สำคัญต้องเข้าซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม เพื่อสร้างโอกาสกำไรให้สูงมากยิ่งขึ้น

สล็อตออนไลน์

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ พลัส (SCB Fixed Income Plus Fund – SCBFP)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: ตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    ระดับความเสี่ยง: ต่ำ
    Morningstar: 4 ดาว

SCBFP เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
SCBFP เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าการฝากธนาคาร แต่ยังคงต้องการสภาพคล่องที่สูง ซึ่ง SCBFP นั้นสามารถขายวันนี้ได้เงินพรุ่งนี้เลยทันที (T+1) ถือว่ามีสภาพคล่องที่ใกล้เคียงกับการฝากธนาคาร สำหรับใครที่กำลังมองหาแหล่งเก็บเงินสำรองฉุกเฉินหรือแหล่งเก็บเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พี่ทุยแนะนำว่าสามารถเลือกใช้ SCBFP ได้เลย

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

jumboslot

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มัลติ อินคัมพลัส (SCB Multi Income Plus Fund – SCBMPLUS)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: เน้นลงทุนตราสารหนี้ของไทย, ตราสารหนี้ต่างประเทศ, REIT และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
    ระดับความเสี่ยง: ปานกลาง
    Morningstar: 4 ดาว

SCBMPLUS เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
สำหรับ SCBMPLUS เนี้ยจะมีความคล้ายคลึงกับ SCBPLUS แต่จะแตกต่างตรงที่ SCBMPLUS สามารถขายได้ทุกเดือน เลยทำให้ SCBMPLUS มีสภาพคล่องที่สูงกว่า แต่แน่นอนว่าผลตอบแทนโดยรวมของ SCBMPLUS จะมีแนวโน้มที่ได้ต่ำกว่า SCBPLUS เนื่องจากผู้จัดการกองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีระยะเวลาได้สั้นมากกว่านั่นเอง

พี่ทุยอยากจะสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า ถ้าใครชอบ SCBPLUS แต่อยากให้ขายได้บ่อย ๆ หน่อยก็มาทาง SCBMPLUS ได้เลย ตอบโจทย์แน่นอน!

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นทุนปันผล (SCB Dividend Stock Open End Fund – SCBDV)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้นไทย
    ระดับความเสี่ยง: สูง
    Morningstar: 4 ดาว

slot

SCBDV เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
สำหรับ SCBDV ก็เหมาะกับคนที่เป็นพันธุ์แท้หุ้นไทยเหมือนกับ SCBSE ที่พี่ทุยบอกไปก่อนหน้านี้ แต่ SCBDV เค้าจะเน้นลงทุนหุ้นไทยที่มีการเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อโอกาสในการสร้างกระแสเงินสดตลอดการลงทุน เนื่องจาก SCBDV จะมีนโยบายการจ่ายปันผล

นอกจากนี้ SCBDV ก็ยังได้รับรางวัล “กองทุนตราสารทุนยอดเยี่ยม ปี 2020 ประเภทกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Equity Large Cap)” โดย Morningstar อีกด้วยนะ

เรียกได้ว่าใครที่อยากได้เงินปันผลเรื่อย ๆ พี่ทุยว่าก็ต้อง SCBDV นี่แหละ ได้รางวัลมาการันตีซะขนาดนี้!

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (ชนิดจ่ายเงินปันผล)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้นสหรัฐอเมริกา
    ระดับความเสี่ยง: สูง
    Morningstar: 4 ดาว

SCBS&P500 เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
SCBS&P500 เหมาะสำหรับคนที่อยากจะกระจายการลงทุนไปยังในหุ้นสหรัฐอเมริกาเพื่อหาโอกาสในการสร้างตอบแทนที่มากขึ้น ซึ่งเวลาที่เราไปลงทุนในต่างประเทศเรามักจะกังวลถึงความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลที่น้อยกว่าการลงทุนในหุ้นไทย

สำหรับใครกำลังกังวลเรื่องนี้ พี่ทุยจะบอกว่าหายห่วงได้เลย เพราะ SCBS&P500 มีวิธีการลงทุนแบบ Passive หรือการลงทุนแบบลอกเลียนตลาดเพื่อให้มีผลตอบแทนที่เหมือนตลาดมากที่สุด หมดห่วงเรื่องความกังวลที่จะเข้าหุ้นผิดตัวไปได้เลย ความน่าสนใจของ S&P500 ก็คือ เป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 500 ตัวของอเมริกา มีหุ้นที่เรารู้จักกันดีรวมอยู่ด้วย เช่น Apple, Microsoft, Facebook และยังครอบคลุมไปในหลายอุตสาหกรรมด้วยนะ

จัดอันดับประเภทของกองทุน

ตอนนี้พี่ทุยว่าทุกคนน่าจะรู้จักกองทุนรวมกันเป็นอย่างดีแล้ว แต่ถ้าใครมีโอกาสได้ไปดูรายชื่อกองทุนรวมในประเทศทั้งหมด มีเป็นพันกองทุน จะเห็นได้ว่ามี “ประเภทของกองทุน” มากมาย ดังนั้นก่อนที่เราจะลงทุนกองทุนรวม อย่างน้อยเราน่าจะหามีดมาแบ่งหรือตะแกรงมาร่อนซะก่อน

jumbo jili

เพื่อที่จะได้ให้เหลือแต่จำนวนกองทุนรวมที่น่าสนใจและเหมาะกับเรา เพราะลองคิดดูว่า ถ้านั่งจิ้มจากพันกองทุนพี่ทุยว่าเหนื่อยแย่เลย แต่ถ้าเลือกจาก 50 กองทุน พี่ทุยว่าก็น่าจะช่วยให้เราเลือกง่ายขึ้นนะ

สิ่งที่เราควรรู้ในการเลือกลงทุนในกองทุนรวมนั่นก็คือ…

“ประเภทของกองทุน” มีทั้งหมดกี่ประเภท ?
ถ้าเราแบ่งตามแบบฉบับประเทศไทย ก็จะแบ่งกองทุนรวมออกเป็นทั้งหมด 8 ประเภท ตามลำดับความเสี่ยงจากน้อยไปหามาก

ความเสี่ยงระดับที่ 1 : กองทุนรวมตลาดเงินในประเทศ
กองทุนประเภทนี้จะลงทุนในตลาดเงิน เป็นการกู้เงินระยะสั้นของสถาบันต่าง ๆ โดยทั่วไปตราสารหนี้พวกนี้อายุจะไม่เกิน 1 ปี ทำให้ความเสี่ยงต่ำมาก เพราะให้สถาบันต่าง ๆ กู้เงิน เช่น ธนาคาร รัฐบาล เป็นต้น ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อมั่นและมั่นคงสูงอยู่แล้ว

สล็อต

แต่พี่ทุยเตือนไว้ก่อนว่า ต่อให้มีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม ได้ชื่อว่าการลงทุนยังไงก็มีความเสี่ยง ดังนั้นอย่าลืมศึกษาให้ดีก่อนการลงทุนเสมอ

ความเสี่ยงระดับที่ 2 : กองทุนรวมตลาดเงินต่างประเทศ
อันนี้จะเหมือนกับประเภทที่ 1 แต่อาจจะมีบางส่วนลงทุนในต่างประเทศได้ ตรงนี้ก็อาจจะทำให้มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาด้วย แต่กองทุนรวมประเภทนี้ ส่วนใหญ่ก็จะทำการลดความเสี่ยงค่าเงินไว้อยู่แล้ว

ความเสี่ยงระดับที่ 3 : กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาล
กองทุนนี้จะไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ง่าย ๆ ก็คือ ให้รัฐบาลกู้นั่นแหละ แต่จะเป็นระยะที่ยาวขึ้น ส่วนใหญ่จะมากกว่า 1 ปีขึ้นไป แล้วก็จะมีความผันผวนเรื่องราคามากกว่าพวกกองทุนรวมตลาดเงิน

ความเสี่ยงระดับที่ 4 : กองทุนรวมตราสารหนี้
จะแตกต่างจากระดับที่ 3 ตรงที่ว่า กองทุนรวมจะไปลงทุนตราสารหนี้ที่เป็นของเอกชน หรือที่เราเรียกตราสารหนี้พวกนี้ว่า “หุ้นกู้” นั้นเอง

สล็อตออนไลน์

ความเสี่ยงระดับที่ 5 : กองทุนรวมผสม
เป็นกองทุนที่ลงทุนผสม ระหว่างตราสารหนี้และตราสารทุน (หุ้น) ซึ่งสัดส่วนการลงทุนว่าจะลงทุนอะไรเท่าไหร่บ้างก็ต้องไปดู “นโยบายการลงทุน” ของกองทุนอีกครั้งนึง

ความเสี่ยงระดับที่ 6 : กองทุนรวมตราสารทุน
ลงทุนหุ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พี่ทุยว่ากองทุนรวมความเสี่ยงระดับที่ 6 เนี้ยแหละน่าจะเป็นกองทุนที่คุ้นหูที่สุดแล้ว เพราะว่าพวก LTF ที่เราซื้อกันเมื่อก่อน รวมถึง SSF และ SSFX ที่ออกมาในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็มีความเสี่ยงระดับ 6

ความเสี่ยงระดับที่ 7 : กองทุนรวมตามหมวดอุตสาหกรรม
สำหรับกองทุนนี้จะลงทุนในหุ้นเนี่ยแหละ แต่เป็นหุ้นที่จงเจาะอุตสาหกรรม เช่น เน้นลงทุนกลุ่มโรงพยาบาล หรือเฉพาะกลุ่มพลังงาน เป็นต้น กองทุนรวมประเภทนี้ต้องอาศัยความเข้าใจในอุตสาหกรรมนั้นมากเป็นพิเศษ ที่ถูกจัดอยู่ในระดับที่ 7 ก็เพราะว่าจะใช้ความรู้มากกว่าระดับที่ 6 นั่นเอง

jumboslot

ความเสี่ยงระดับที่ 8 : กองทุนรวมทางเลือก
กองทุนสุดท้ายนี้ ต้องใช้ความเข้าใจค่อนข้างเยอะและเฉพาะทางมากกว่าระดับที่ 7 ขึ้นไปอีก จะเป็นการลงทุนในตลาดทางเลือกต่าง ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงพวกโครงสร้างพื้นฐาน น้ำมัน ทองคำ ฯลฯ

สุดท้ายก็ไม่ได้หมายความว่ากองทุนระดับที่ 8 จะลงทุนไม่ได้เลย บางครั้งถ้าเรามีความเข้าใจและใช้เครื่องมือการลงทุนอย่างถูกต้อง การลงทุนในกองทุนความเสี่ยงระดับที่ 8 หลาย ๆ ครั้งก็ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ระดับ 4-7 ซะอีก ที่สำคัญบางช่วงเวลาก็ยังเสี่ยงต่ำกว่าด้วย

slot


เราอาจจะลองประเมินความเสี่ยงของเงินลงทุนของเราว่า เงินก้อนที่เราจะลงทุนรับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าเอาแบบทั่ว ๆ ไปก็ใช้กองทุนรวมความเสี่ยงระดับ 1 ถึง 6 ก็โอเคแล้วล่ะ ระดับ 7-8 เอาไว้เราเก่งแล้วค่อยเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมก็ยังได้

แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าเงินลงทุนก้อนนี้เรารับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหน ส่วนตัวพี่ทุยมักจะใช้ “ระยะเวลา” เป็นตัวแยกอันแรกๆเสมอ ถ้าเราลงทุนได้นาน เช่น 5 ปีขึ้นไป เราก็สามารถลงทุนกองทุนระดับความเสี่ยง 5-6 ได้แล้วล่ะ แต่ถ้าเงินลงทุนเราเป็นเงินหมุนเร็ว ๆ สั้น ๆ แบบ 3-6 เดือน พี่ทุยก็แนะนำว่าให้กองทุนระดับความเสี่ยง 1-2 ก็พอแล้ว เพราะระยะสั้นเราเน้นภาพคล่อง ไม่ได้เน้นผลตอบแทนเป็นหลักนั่นเอง

วิธีการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง

เวลาที่นักลงทุนมือใหม่เริ่มต้นลงทุน พี่ทุยแนะนำให้เริ่มต้นที่การตั้งเป้าหมายทางการเงินก่อนเสมอ เราจะได้รู้ว่าเงินลงทุนในแต่ละก้อนเราสามารถลงทุนได้ยาวแค่ไหน ซึ่ง “ระยะเวลา” ถือว่าเป็นตัวแบ่งตัวหนึ่งที่มีประสิทธิภาพมาก ก่อนอื่นเลยพี่ทุยแนะนำว่าสำหรับการลงทุนให้ได้ “ผลตอบแทนสูง” 8-10% ต่อปีขึ้นไป จะต้องเป็นเป้าหมายการลงทุนระยะยาวอย่างการเกษียณอายุ หรือ แผนการศึกษาบุตร เท่านั้น

jumbo jili

เหตุผลก็เพราะว่า “ผลตอบแทนสูง” ที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ ขนาดฝากธนาคารยังมีความเสี่ยงเลย ซึ่งความเสี่ยงที่ว่านี้ คือ โอกาสที่ผลตอบแทนที่เราต้องการไม่เป็นไปอย่างที่คิด หรือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือ เราจะขาดทุน ซึ่งโอกาสขาดทุนก็มีตั้งแต่ 0.1% ไปจนถึงสูญเงินทั้งก้อนนั่นแหละ เช่น ถ้าเราไปปล่อยกู้นอกระบบดอกเบี้ย 3% ต่อเดือน แน่นอนว่าผลตอบแทนดี ปีนึงมากกว่า 36% แต่โอกาสขาดทุนเงินทั้งหมดก็มีอยู่เหตุผลเดียว คือ ลูกหนี้ไม่เอาเงินมาคืน!

ไม่มีการลงทุนใดในโลกไม่มีความเสี่ยง ยิ่งต้องการ “ผลตอบแทนสูง” ขึ้น ย่อมมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ถ้าใครมาชวนลงทุนแล้วบอกว่ามีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนเท่านั้นเท่านี้ โดยผลตอบแทนมีการการันตีต่าง ๆ นานา ว่าให้มากกว่าการฝากธนาคาร พึงระลึกไว้เลยว่า มี ความเสี่ยงทั้งนั้น เพราะไม่มีการลงทุนที่ไหนในโลกไม่มีความเสี่ยง ขนาดการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 8-10% ในบทความนี้ที่พี่ทุยบอกก็ยังมีความเสี่ยง

ยิ่งในระยะสั้น ก็จะมีความเสี่ยงสูงมาก นั่นหมายความว่า ถ้าเราลงทุนได้นานเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็จะยิ่งลดลง พี่ทุยเลยแนะนำก่อนว่าให้เน้นลงทุนกับเป้าหมายที่เป็นระยะยาวเท่านั้น ถ้าถามพี่ทุยว่าการลงทุนอะไรที่ในผลตอบแทนมากกว่า 8% ได้บ้าง พี่ทุยขอตอบเลยว่า หุ้น และ อสังหาริมทรัพย์ เป็นหลัก และเหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่

สล็อต


สำหรับมือใหม่พี่ทุยอาจจะไม่แนะนำไปถึงการลงทุนพวกตราสารอนุพันธ์ต่าง ๆ นะ ถึงแม้ว่าผลตอบแทนจะสูงมาก แต่ความเสี่ยงที่จะขาดทุนเกิน 100% ก็สูงมากเช่นกัน ใครที่เล่นอยู่ก็น่าจะพอเข้าใจ

สำหรับบางคนที่เงินทุนยังไม่เยอะมาก แล้วจะไปให้ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ก็คงดูเป็นเรื่องไกลตัว พี่ทุยก็เลยแนะนำไปที่ “หุ้น” ซะเป็นส่วนใหญ่ พี่ทุยขอพาไปดู “ตลาดหุ้นไทย” หรือที่คุ้นชื่อว่า SET เนี้ยแหละ เปิดตลาดมาตั้งแต่ปี 2518 ปัจจุบันก็ปี 2563 เรียกได้ว่าเปิดมาเกือบ ๆ 45 ปีแล้ว แน่นอนว่าก็มีคนที่รวยจากผลตอบแทนของตลาดหุ้นก็เยอะแ ต่พี่ทุยว่าคนที่เจ๊งจากตลาดหุ้นเยอะกว่านะ (ฮ่า)

ก่อนอื่นเลยพี่ทุยขอย้อนไปปี 2545 ดัชนีของตลาดบ้านเราที่รวมเงินปันผลด้วย (SET TRI) ถือกำหนดขึ้นมาด้วยค่าเริ่มต้นที่ 1,000 จุด ไปจนถึงสิ้นปีที่ผ่านมาก็คือสิ้นสุดปี 2562 โดยแต่ละปีให้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามนี้เลย

ผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลังของตลาดหลักทรัพย์ (SET)
ปี 2545 เท่ากับ 20.27%
ปี 2546 เท่ากับ 126.35%
ปี 2547 เท่ากับ -10.64%
ปี 2548 เท่ากับ 11.22%
ปี 2549 เท่ากับ -0.26%
ปี 2550 เท่ากับ 31.37%
ปี 2551 เท่ากับ -46.57%
ปี 2552 เท่ากับ 76.08%
ปี 2553 เท่ากับ 47.80%
ปี 2554 เท่ากับ 3.69%
ปี 2555 เท่ากับ 40.53%
ปี 2556 เท่ากับ -3.63%
ปี 2557 เท่ากับ 19.12%
ปี 2558 เท่ากับ -11.23%
ปี 2559 เท่ากับ 23.85%
ปี 2560 เท่ากับ 17.30%
ปี 2561 เท่ากับ -8.08%
ปี 2562 เท่ากับ 4.29%
ปี 2563 เท่ากับ -5.53%

สล็อตออนไลน์

ถ้าเอาผลตอบแทนเฉลี่ยแบบเลขคณิตมาคิดเลยก็เท่ากับ 18.97% ต่อปี แต่ถ้าจะดูผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวจริง ๆ พี่ทุยแนะนำว่าให้ใช้ “เรขาคณิต” จะตรงตามความจริงมากกว่า (ตรงนี้ถ้าใครสงสัยลองหาข้อมูลเรื่องสถิติดูเองนะ) ก็จะได้เท่ากับ 13.77% ต่อปี

แล้วถ้าเรามาดูผลตอบแทนเฉลี่ยย้อน 10 ปี ในแต่ละช่วงเวลา ของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือว่า SET TRI กันดู

ผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลัง 10 ปี ของตลาดหลักทรัพย์ (SET TRI)
ปี 2545 – 2554 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 17.72%
ปี 2546 – 2555 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 19.52%
ปี 2547 – 2556 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 9.78%
ปี 2548 – 2557 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 12.98%
ปี 2549 – 2558 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 10.46%
ปี 2550 – 2559 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 12.88%
ปี 2551 – 2560 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 11.61%
ปี 2552 – 2561 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 17.83%
ปี 2553 – 2562 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 11.82%

jumboslot

ช่วงที่ต่ำสุดที่ผลตอบแทนเฉลี่ยยังเท่ากับ 9.78% ต่อปี ก็คือช่วง ปี 2547 – 2556
แล้วแต่ถ้าเรามาดูผลตอบแทนย้อนหลัง 7 ปีในแต่ละช่วงเวลาดูกันบ้าง

ผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลัง 7 ปี ของตลาดหลักทรัพย์ (SET TRI)
ปี 2545 – 2551 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 9.55%
ปี 2546 – 2552 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 15.69%
ปี 2547 – 2553 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 8.85%
ปี 2548 – 2554 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 11.19%
ปี 2549 – 2555 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 14.97%
ปี 2550 – 2556 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 14.41%
ปี 2551 – 2557 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 12.82%
ปี 2552 – 2558 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 21.30%
ปี 2553 – 2559 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 15.36%
ปี 2554 – 2560 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 11.61%
ปี 2555 – 2561 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 9.70%
ปี 2556 – 2562 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 5.13%

slot

จะเห็นได้ว่ามีช่วงที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่า 8% อยู่ช่วงหนึ่งก็คือช่วงปี 2556 – 2562 ได้อยู่ที่ 5.13% แต่ถ้าเราไปดูที่ระยะสั้นขึ้นที่ 6 ปี ผลตอบแทนช่วงที่ต่ำที่สุดจะตกไปเหลือ 3.44% ต่อปี และมีช่วงที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่า 8% ถึง 4 ช่วงเวลาจากทั้งหมด 13 ช่วงเวลา แล้วยิ่งถ้าลงทุนเพียงแค่ 5 ปี ผลตอบแทนช่วงที่ต่ำที่สุด ต่ำสุดถึง -7% ต่อปีเลยทีเดียว

ทั้งหมดนี้เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมพี่ทุยต้องย้ำเสมอว่า… ถ้าเราคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น อย่างเช่น ผลตอบแทน 8-10% พี่ทุยแนะนำให้ลงทุนอย่างน้อย “10 ปีขึ้นไป” เพราะโอกาสที่เราจะขาดทุนจะน้อยลง แล้วผลตอบแทนคาดหวังจะสูงขึ้น

ส่วนตัวพี่ทุยแล้ว สำหรับมือใหม่พี่ทุยมักจะแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมมากกว่าซื้อหุ้นรายตัว เพราะอย่างน้อย ๆ ก็มีมืออาชีพคอยดูแลเงินให้กับเราอยู่ แล้วเราก็สามารถเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่เราชอบได้ด้วยกองทุนรวมหุ้น หลาย ๆ กอง ผลตอบแทนสูงกว่า 8-10% ต่อปีในระยะยาว ๆ ก็มีให้เห็นเรื่อย ๆ หรือไม่ก็เลือกลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (Passive Fund) เป็นการลงทุนล้อเลียนดัชนีไปเลย เราก็จะได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับตลาด

กองทุนแบบActive

เมื่อเราเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนในกองทุนรวม “กองทุนแบบ Active” และ Passive สองคำนี้ต้องเป็นอะไรที่เราคุ้นเคยแน่นอน วันนี้พี่ทุยเลยจะมาพูดถึงความแตกต่างของกองทุนสองแบบนี้กันซะหน่อยว่ามีข้อดีและเสียแตกต่างกันยังไงบ้าง ?

jumbo jili

พี่ทุยขอพูดถึงกรณีของกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นเป็นหลักก่อนละกัน เพราะจะเห็นความแตกต่างของกองทุนแบบ Active (Active Fund) และแบบ Passive (Passive Fund) กันค่อนข้างชัดเจนเลยล่ะ

มาเริ่มที่เจ้า Active Fund กันก่อนเลย ตามชื่อกองทุนก็จะมีการบริการแบบ Active คือ ผู้บริหารกองทุนต้องพยายามเอาชนะ มาตรฐาน (Benchmark) ที่ตั้งไว้ เช่น Set 100 , Set 50 เป็นต้น พูดง่าย ๆ คือเล่นหุ้นยังไงก็ได้ ให้ได้ผลตอบแทน “ชนะ” ดัชนีพวกนี้แหละ ยิ่งทำผลตอบแทนได้มากกว่าตลาดเท่าไหร่ ยิ่งเป็นกองทุน Active ที่ดีเท่านั้น

ส่วนกองทุนเป็น Passive Fund อันนี้เข้าใจง่ายมาก ผู้บริหารกองทุนไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ลงทุนตาม Benchmark เลย งานง่าย ๆ ส่วนใหญ่จะใช้แค่โปรแกรมหรือ Robot คอยปรับพอร์ต กองทุน Passive ที่ดีต้องเป็นกองทุนที่ผลตอบแทนเหมือนตลาดให้มากที่สุดหรือมาตรฐาน (Benchmark) ของกองทุนนั้น ๆ

สล็อต

“กองทุนแบบ Active” (Active Fund) ก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน
แน่นอนว่ากองทุนแต่ละประเภทก็มีข้อจำกัดอยู่ ไม่ได้มีแต่ข้อดี เรามาเริ่มกันที่ Active Fund กันก่อน ข้อจำกัดของกองทุนประเภทนี้ก็คือ ถ้าผู้บริหารกองทุนเกิดเลือกหุ้นพลาดหรือทำผลตอบแทนแย่กว่าตลาดขึ้นมา คนที่จะขาดทุนจริงๆก็คือตัวเราเอง

เพราะกองทุน Active เค้าจะมีค่าบริหารกองทุนที่ค่อนข้างสูง เวลาซื้อก็เสียค่าธรรมเนียม แล้วก็ยังเสียค่าบริหารรายปีอีก นั่นแปลว่าอย่างน้อยที่สุดกองทุนแบบ Active ก็ควรทำผลตอบแทนให้ชนะตลาดได้ อย่างน้อย ๆ ก็เท่ากับค่าบริหารจัดการที่ตัวเองเรียกเก็บ ซึ่งอันนี้เราในสถานะนักลงทุนก็ต้องเลือกกองทุนให้เป็นด้วยเช่นกัน

สล็อตออนไลน์

กองทุนแบบ Passive (Passive Fund) ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี
ทีนี้เรามาดูที่กองทุนแบบ Passive ข้อดีของเค้าเลยก็คือค่าธรรมเนียมต่ำมาก !! แทบจะไม่คิดค่าธรรมเนียมเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ต้องใช้ทรัพยากรเยอะเท่าไหร่ แค่ทำตัวเหมือนตลาดหรือลอกตลาดเป็นอันใช้ได้ แต่ข้อจำกัดของกองทุนแบบ Passive ก็คือเวลาที่ดัชนีไม่วิ่งไปไหน เราไม่ต้องหวังกำไรจากกองทุนแบบ Passive เลย ตัวอย่างก็มีให้เห็นอย่างตลาดหุ้นไทย ถ้าใครซื้อตอนปี 2013 ช่วง SET Index 1,600 ผ่านมา 5 ปีเต็มๆกว่าจะเห็นกองทุนตัวเองกำไรเพราะว่าช่วงนี้ SET บ้านเราทะลุ 1,600 ขึ้นมาได้ ถ้าในสภาวะที่ดัชนีไม่วิ่งไปไหน การที่เราใช้กองทุนแบบ Active ก็ดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่า

แต่ถ้าเราไปอ่านตำราโดยเฉพาะตลาดต่างประเทศอย่างอเมริกามักจะแนะนำให้ลงทุนกองทุนแบบ Passive มากกว่า Active เพราะตลาดหุ้นของอเมริกามีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และหุ้นเยอะ การที่ผู้จัดการกองทุนจะทำผลตอบแทนให้ชนะตลาดตลอดเวลาในระยะยาวเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ดังนั้นการลงทุนที่ดีคือ “เลียนแบบ” ตลาดไปเลยง่ายที่สุด

jumboslot


แล้วพอมามองที่ ตลาดหุ้นของไทย ตลาดยังถือว่า “เล็กมาก” เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอเมริกา เหมือน “ขี้เล็บ” เลยก็ว่าได้ เพราะว่ามูลค่าตลาดหุ้นของไทยเล็กมาก

ทำให้การหาหุ้นยังสามารถทำได้ไม่ยากมาก เพราะหุ้นทั้งตลาดของไทยตอนนี้ยังแค่หลักร้อยตัวเอง แล้วพอดูผลตอบแทนย้อนหลังผลตอบแทนของกอง Active ค่อนข้างดีกว่า (เอากองผลตอบแทนอันดับต้น ๆ มาเทียบ) ถ้าให้ตอบตอนนี้คงตอบว่ากอง Active ยังดีกว่า แต่ต้องเลือกกองทุนให้เป็นด้วยนะ ไม่ใช่ปิดตาแล้วจิ้มเลือก แบบนี้พี่ทุยจะจิ้มตาให้

slot

แต่ยังไงพี่ทุยก็แนะนำว่า ซื้อมันทั้ง 2 แบบนั่นแหละ ฮ่า “การกระจายการลงทุน” เป็นสิ่งที่ควรทำอันดับแรก ๆ และกองทุนทั้งสองแบบก็ถือว่าน่าสะสมเก็บไว้ไม่ใช่เล่น ในระยะยาวพี่ทุยเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังไปอีกไกล การเก็บสะสมไว้ในระยะยาว พี่ทุยว่าสบายนะ แต่กองทุนแบบ Active ต้องอาศัยผู้จัดการกองทุน ซึ่งในระยะยาวไม่มีใครบอกได้ว่า จะทำได้ดีตลอดหรือเปล่า ?

สุดท้ายแล้วเราจะเลือกลงทุนแบบไหน เราจำเป็นที่จะต้อง คิด วิเคราะห์ ด้วยตัวเอง แล้วเตรียมรับผลตอบแทนและความเสี่ยงที่มันจะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจด้วยตัวเอง วิธีการแบบนี้แหละคือวิธีที่ดีที่สุดแล้วสำหรับการลงทุนในระยะยาว