ซูบารุ

ซูบารุ​ เป็นฝ่ายผลิตรถยนต์ ของ บริษัทผลิตเครื่องจักรกล ซูบารุคอร์เปอเรชั่น (ในอดีตรู้จักในชื่อ ฟูจิเฮฟวี่อินดัสทรี หรือ FHI) เป็นที่ทราบกันดีว่ารถยนต์ซูบารุนั้น มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากรถยนต์จากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นคือ การใช้เครื่องยนต์บ๊อกเซอร์(กับขนาดเครื่องยนต์มากกว่า1500cc). และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่บริษัทวิจัยและพัฒนาขึ้นมาเองอย่าง ระบบ ซิมเมตริคัล ออลวีลไดรฟ์ ที่ถูกใช้งานกับรถยนต์ซูบารุมาตั้งแต่ตั้งแต่ปี 1972. ทั้งเครื่องยนต์บ๊อกเซอร์และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อนั้น ถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรถยนต์ขนาดกลางและขนาดเล็กของซูบารุทุกรุ่นตั้งแต่ปี 1996 ยกเว้นเพียงซูบารุ บีอาร์แซด ที่เปิดตัวในปี 2012 ร่วมกับโตโยต้าเท่านั้น

jumbo jili

โลโก้ดั้งเดิมที่ใช้สำหรับรถ ซูบารุ 360 แสดงถึงการวางตำแหน่งดาวที่คล้ายคลึงกับ กระจุกดาวลูกไก่
ฟูจิเฮฟวี่อินดัสทรี และ รถคันแรกจากซูบารุ
ฟูจิ เฮฟวี่ อินดัสทรี เริ่มจากการเป็น “ห้องค้นคว้าวิจัยอากาศยาน” ในปี 1915 และในปี 1932 ก็เกิดเป็น บริษัท นากาจิมา แอร์คราฟ จำกัด อีกไม่นานก็กลายเป็นผู้ผลิตอากาศยานหลักของประเทศญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 และในช่วงปลายของสงคราม บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ฟูจิ ซังเงียว จำกัด (Fuji Sangyo Co, Ltd). ในปี1946 บริษัท ฟูจิ ซังเงียว ได้ผลิตรถสกู๊ตเตอร์ชื่อ ฟูจิแรบบิท โดยใช้ชิ้นส่วนจากอากาศยานที่บริษัทผลิตให้กับกองทัพในช่วงสงคราม. ในปี 1950 บริษัท ฟูจิ ซังเงียว ถูกแบ่งออกเป็น 12 บริษัทย่อย. ระหว่างปี1953 ถึง ปี1955, 5 ใน 12 บริษัทย่อยที่ถูกแบ่งออกจาก บริษัท ฟูจิ ซังเงียว ได้แก่ บริษัท ฟูจิโค๊ะเงียว (Fuji Kogyo) ผู้ผลิตรถสกู๊ตเตอร์, บริษัท ฟูจิจิโดฉะ (Fuji Jidosha) ผู้ผลิตรถบัส, บริษัท โอมิยะฟูจิโค๊ะเงียว (Omiya Fuji Kogyo) ผู้ผลิตเครื่องยนต์, บริษัท อุ๊ตซึโนะมิยะ ซาเรียว (Utsunomiya Sharyo) ผู้ผลิตตัวถัง และ บริษัท โตเกียว ฟูจิดังเงียว (Tokyo Fuji Dangyo) ซึ่งทำการค้าระหว่างประเทศ ได้รวมตัวกันก่อตั้งเป็น บริษัท ฟูจิ เฮฟวี่ อินดัสทรี (Fuji Heavy Industries หรือ FHI).

สล็อต

ซูบารุ 1500 หรือ P-1 นาย เคนจิ คิตะ ผู้บริหารของFHI ณ ขณะนั้น มีความต้องการที่จะให้บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่นี้เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตรถยนต์ และไม่นานก็เริ่มวางแผนที่จะสร้างรถยนต์ โดยใช้รหัสในการพัฒนาคือ P-1. ในระหว่างการพัฒนา นาย คิตะ พยามที่จะเสนอให้มีการตั้งชื่อให้กับรถยนต์คันใหม่ที่พวกเขากำลังพัฒนาอยู่นั้น แต่ไม่มีชื่อไหนที่น่าสนใจมากพอที่จะยกมาใช้เลยแม้แต่ชื่อเดียว. ในท้ายที่สุดนั้นเขา ต้องการจะใช้ชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น “ซูบารุ” (スバル) เป็นชื่อที่เขาเลือกใช้, สำหรับชื่อ ซูบารุ นั้นในภาษาญี่ปุ่น มีความหมายว่ากระจุกดาวลูกไก่. รถยนต์คันแรกของซูบารุนั้นมีชื่อว่า ซูบารุ 1500 ในปี 1968 ภายใต้การบริหารงานของนายไอซาคุ ซาโต้ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายที่จะให้อุตสาหรกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่นนั้นร่วมมือกัน เพื่อขยายขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างชาติ. นิสสัน จึงได้เข้าซื้อหุ้น 20.4% ของFHI โดยนิสสันหวังที่จะใช้ความเชี่ยวชาญในการผลิตรถบัสของซูบารุในการผลิตรถบัสของตัวเองในแบรนด์ นิสสันดีเซล. นอกจากนั้นเกียร์อัตโนมัติของซูบารุรุ่น 4EAT ก็ได้ถูกนำไปติดตั้งในรถยนต์ นิสสัน แพทไฟเดอร์ รุ่นแรกด้วยเช่นกัน. ซูบารุได้เปิดตัวรถยนต์หลายรุ่นที่เป็นผลผลิตระหว่างความร่วมมือของซูบารุและนิสสัน ได้แก่อาร์ทู(R-2) ในปี 1969, เรกซ์ และ เลโอเน่ ในปี 1971, แบรท ในปี 1978, อัลซีโอเน่ ในปี 1985, เลกาซี่ ในปี 1989, อิมเพรซซ่า ในปี 1993 (รวมถึงเวอร์ชัน WRX ด้วย), และท้ายสุด ฟอเรสเตอร์ ในปี 1997.

สล็อตออนไลน์

ในปี 1999 เมื่อนิสสันถูกเข้าซื้อกิจการโดย เรโนล, พวกเขาขายหุ้นใน FHI ให้กับ เจเนอรัล มอเตอร์ (General Motors หรือ GM). ภายใต้การร่วมมือครั้งใหม่ระหว่าง GM และ FHI นั้น ซูบารุได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ ได้แก่ บาฮา ในปี 2003 และ ไทรเบก้า ในปี 2005. ในประเทศอินเดียนั้น ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ ถูกขายในชื่อ เชฟโรเลต ฟอเรสเตอร์ (เชฟโรเลต เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ในเครื่องของ GM). และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ในประเทศญี่ปุ่น โอเปิ้ล ซาฟิร่า (ในขณะนั้น โอเปิ้ล เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ในเครื่องของ GM) ก็ได้ถูกนำไปขายในชื่อ ซูบารุ ทราวิค เช่นเดียวกัน. นอกจากนี้รถยนต์ต้นแบบ เชฟโรเลต บอร์เรโก้ คอนเซปท์ (Chevrolet Borrego concept) ที่เปิดตัวในปี 2002 นั้น ยังใช้พื้นฐานมาจากแพลทฟอร์มของ ซูบารุ เลกาซี่ เทอร์โบ อีกด้วย. ในสหรัฐอเมริกา GM ยังได้นำพื้นฐานตัวถังของ ซูบารุ อิมเพรซซ่า ไปทำการดัดแปลงและขายในชื่อ ซ้าบ 9-2เอกซ์ (ในขณะนั้น ซ้าบ เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ในเครื่องของ GM ). ส่วนSUVที่มีพื้นฐานตัวถังจาก ซูบารุ ไทรเบก้า ได้มีแผนที่จะนำมาดัดแปลงและขายในชื่อ ซ้าบ 9-6เอกซ์ แต่แผนนั้นก็ต้องถูกยุติลง. ส่วนเส้นสายที่ GM ได้ออกแบบไว้นั้น ถูกนำกลับมาใช้ใหม่โดยซูบารุเอง ในรุ่นปรับโฉมของ ไทรเบก้า. ในปี 2005 GM ได้ขายหุ้นที่ตนถือครองอยู่ใน FHI. ในเวลานั้นแทบทุกโครงการที่เป็นการร่วมมือระหว่าง ซูบารุ และ ซ้าบ ได้ถูกยุติลงเกือบทั้งหมด. คงเหลือไว้เพียงแต่ให้ ซูบารุ เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนของ ซ้าบ 9-2เอกซ์ ส่งให้กับทางGMเพียงเท่านั้น. หลังจากที่GMประกาศขายหุ้นของFHI โตโยต้าได้เข้าซื้อหุ้นของ FHI เป็นจำนวน40%ของหุ้น FHI ที่ GM ถือครองอยู่ในอดีต. โดยหุ้นที่โตโยต้าถือครองอยู่นั้นคิดเป็น 8.7% ของหุ้นทั้งหมดในFHI.

jumboslot

ในเดือนกรกฎาคมปี 2008 โตโยต้าได้ทำการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากเดิม มีส่วนแบ่ง8.7%เพิ่มขึ้นเป็น16.5%. ผลจากการที่โตโยต้าเข้าซื้อหุ้นเพิ่มในซูบารุนั้น ส่งผลให้เกิดการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ร่วมกันนั่นก็คือ ซูบารุ บีอาร์แซด และ โตโยต้า 86 รวมถึงรถยนต์ขนาดเล็กประเภท เคย์-คาร์ (Kei-car) ที่ซูบารุนำพื้นฐานตัวรถจากโตโยต้ามาปรับปรุง แล้วขายในแบรนด์ของซูบารุเอง. รถยนต์ซูบารุในประเทศไทย ปัจจุบัน ดำเนินงานภายใต้ส่วนหนึ่งของ บริษัท ตันจง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จากประเทศสิงคโปร หลังจากทางบริษัทได้รับสิทธิในการจัดจำหน่ายรถยนต์ซูบารุในภูมิภาคเอเซีย ได้แก่ ไทย , มาเลเซีย ,ฟิลิปปินส์,ไต้หวัน,ฮ่องกง,จีน ,สิงคโปร ,เวียดนาม และกัมพูชา แรกเริ่มเดิมที ตัน จง อินเตอร์เนชั่นแนล จัดจำหน่ายรถยนต์ซูบารุในประเทศสิงคโปรเป็นหลัก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ก่อนขยายมายังสู่ตลาดเอเซียอื่นๆ โดยในประเทศไทย เข้ามาขายในช่วงปี พ.ศ. 2529 แรกเริ่มใช้ชื่อว่า มอเตอร์อิมเมจ ในฐานะบริษัทภายใต้เครือตันจง อินเตอร์เนชั่นแนล มีสำนักงานใหญ่อยู่บนถนนเสรีไทย และยังเป็นสำนักงานอยู่จวบจนทุกวันนี้ ปัจจุบันรถยนต์ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย บางส่วนนำเข้าจากโรงงานประกอบประเทศมาเลเซีย ได้แก่ รถยนต์ Subaru XV และในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 ทางเครือตันจง ได้บรรลุข้อตกลงกับ ซูบารุ คอร์เปอร์เรชั่น (FHI เดิม) ในการจัดตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย เป็นแห่งที่ 3 นอกประเทศญี่ปุ่นรองจากอเมริกา โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการผลิตรถยนต์ ซูบารุ ฟอร์เรสเตอร์โฉมใหม่ เพื่อส่งขายในประเทศไทย และกลุ่มประเทศทางเอเซีย ที่ทางตันจง ถือครองสิทธิการขายอยู่ ส่วนรถรุ่นอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ เป็นการนำเข้าโดยตรงจากประเทศญี่ปุ่น

slot

นิสสัน เอ็กซ์เทรล

นิสสัน เอ็กซ์เทรล เป็นรถยนต์เอนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดเล็ก (Compact SUV) แบบ Crossover SUV ผลิตโดยนิสสัน โดยเริ่มผลิตและเปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2544 ในช่วงที่รถยนต์ประเภท SUV กำลังโด่งดัง ถือได้ว่าเป็นรถอีกรุ่นหนึ่งของนิสสันที่มาถูกที่ ถูกเวลาและช่วยฟื้นฟูรายได้ให้กับนิสสันช่วงที่กำลังฟื้นฟูกิจการในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก จนถึงทุกวันนี้ เอ็กซ์เทรลได้กลายเป็นรถยนต์รุ่นหลักสำหรับตลาดโลกของ Nissan ไปแล้ว มีการส่งเข้าไปทำตลาดใน 167 ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย มียอดขายมาแล้วมากกว่า 800,000 คัน และครองตำแหน่งรถ SUV ที่ขายดีของญี่ปุ่นมาแล้ว 8 ปีซ้อนตั้งแต่รุ่นแรกด้วย
รุ่นที่ 1 (พ.ศ. 2544-2550)

jumbo jili

นิสสัน เอ็กซ์เทรล รุ่นที่ 1
นิสสัน เอ็กซ์เทรล รุ่นที่ 1 เริ่มผลิตเมื่อปี พ.ศ. 2544 ถูกสร้างขึ้นบนตัวถัง FF-MS Platform ร่วมกับ Nissan Primera P12 Nissan Sunny Neo และ Nissan Almera เครื่องยนต์จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 และ 2.5 ลิตร และยังมีเทอร์โบในรุ่น 2.0 ลิตรเฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้น และเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร ระบบเกียร์เป็นเกียร์ธรรมดา 5 และ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เป็นรถที่ประสบความสำเร็จในแทบทุกประเทศที่เข้าไปเปิดตัว ยกเว้นประเทศไทย ในประเทศไทย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือสยามกลการในยุคนั้น มีดำริจะนำ X-Trail เข้ามาขายตั้งแต่ช่วงเปิดตัวใหม่ๆ เมื่อปี พ.ศ. 2544 แต่รถยนต์รุ่นนี้ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่โดนหางเลขจากความขัดแย้งระหว่างสยามกลการ ซึ่งมีคนตระกูลพรประภาถือหุ้นใหญ่ และบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น โดยทางฝั่งไทยได้ขอรถรุ่นนี้มาทำตลาด แต่บริษัทแม่ก็ไม่ยอม จนกระทั่งนิสสันญี่ปุ่นเข้ามาซื้อหุ้นและลงทุนเข้ามาเปิดกิจการผลิต นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ Nissan ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแทนสยามกลการซึ่งกลายเป็นดีลเลอร์รายหนึ่งไป ประกอบกับที่อินโดนีเซียขึ้นไลน์ประกอบเอ็กซ์เทรลรุ่น Minorchange แล้ว เอ็กซ์เทรลก็ได้มีโอกาสเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2548 แต่เนื่องจากเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันเบนซินในไทย และตลาดโลกพุ่งทะยานขึ้น ทำให้ความนิยมในรถ SUV เริ่มลดลงไป แต่ในเมื่อรถก็ถูกสั่งนำเข้ามาจากอินโดนีเซียเรียบร้อยแล้วจึงต้องเดินหน้าทำตลาดต่อไป และการที่รถประกอบในอินโดนีเซีย และประสบความสำเร็จในตลาดโลก ก็ถือเป็นเครื่องตอกย้ำความสำเร็จ แต่เมื่อมียอดขายที่น้อยมาก ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ทาง Nissan ถอดใจกับเอ็กซ์เทรลไป

สล็อต

รุ่นที่ 2 (พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2556)
นิสสัน เอ็กซ์เทรล รุ่นที่ 2
นิสสัน เอ็กซ์เทรล รุ่นที่ 2 เริ่มผลิตเมื่อปี พ.ศ. 2550 ถูกสร้างขึ้นบนตัวถัง C-Platform ร่วมกับ Nissan LaFesta Nissan Qashqai และ Nissan Rogue เผยโฉมครั้งแรกในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ ปี 2007 ก่อนจะออกสู่ตลาดญี่ปุ่นเพียงหลังจากนั้นไม่กี่เดือน และยังคงประสบความสำเร็จในตลาดโลกเช่นเดิม เพราะนิสสันได้ผลิตและส่งมอบเอ็กซ์เทรลแล้วถึง 140,000 คัน เฉพาะในญี่ปุ่นมียอดขายกว่า 27,000 คัน และครองตำแหน่ง SUV ขายดีในญี่ปุ่นแล้ว 2 ปีติดต่อกัน รุ่นนี้มีเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 และ 2.5 ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ระบบเกียร์เป็นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ CVT ในประเทศไทย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำเอ็กซ์เทรลกลับมาเปิดตัวอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2552 ยังคงสั่งนำเข้ามาจากอินโดนีเซียเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าการกลับมาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อเป็นผู้เล่นตัวหลักในตลาดเหมือนในอดีต เพียงแค่อุดช่องว่างทางการตลาดของนิสสันเท่านั้น รุ่นที่นำเข้ามาขายในประเทศไทยจะเป็นรุ่น 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ CVT และขับเคลื่อนล้อหน้า เนื่องจากกลุ่มที่ซื้อรถ SUV ในไทยมักไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก โดยเฉพาะกลุ่มที่ซื้อแต่ไม่ได้นำไปลุยป่าลุยทุ่งมากนัก ใช้งานในเมืองเป็นหลัก น่าจะเพียงพอแล้ว อีกทั้งที่ผ่านมา ยอดขายในไทยและอินโดนีเซียจะขายรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าได้ดีกว่ารุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ดังนั้นจึงไม่ต้องจำเป็นที่จะนำเข้ารุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเข้ามา ต่อมาได้มีการ Minorchange ในปี พ.ศ. 2554 แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากออพชันของรถน้อย และภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ยังไม่เด่นชัดนัก แต่ในรุ่นต่อไปซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในปี พ.ศ. 2557 นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) มีแผนจะนำเอ็กซ์เทรลมาประกอบในประเทศไทย แน่นอนว่าจะเป็น SUV แบบ 7 ที่นั่ง และเป็นการกลับมาแข่งขันกับคู่แข่งระดับแถวหน้าอีกครั้ง ทำให้ CR-V CX-5 และ Captiva หนาวได้เลย

สล็อตออนไลน์

รุ่นที่ 3 (พ.ศ. 2556-ปัจจุบัน)
Pre-facelift Nissan X-Trail ST (Australia)
การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในเดือนนี้ตามกันมาติดๆ ชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร บางค่ายก็เปิดตัวชนกันวันเดียวกันเลย รถที่เปิดตัวในช่วงนี้ส่วนใญ่จะเป็นรถในกลุ่มรถอเนกประสงค์ทั้งเล็กใหญ่ และรถกระบะ สำหรับรุ่นที่จะเขียนถึงในครั้งนี้คือ All New Nissan X-Trail รถอเนกประสงค์ประเภทจากค่ายนิสสันที่มากระตุ้นตลาด SUV ให้คึกคักในช่วงปลายปี All New Nissan X-Trail ที่จะจำหน่ายในไทยมี 4 รุ่นด้วยกัน โดยรุ่นและราคามีดังนี้

– 2.0S CVT 2WD ราคา 1,172,000 บาท
– 2.0E CVT 2WD ราคา 1,246,000 บาท
– 2.0V CVT 4WD ราคา 1,325,000 บาท
– 2.5V CVT 4WD ราคา 1,551,000 บาท
ทางด้านคุณสมบัติและอุปกรณ์มาตรฐาน All New Nissan X-Trail มีให้อย่างครบครัน ในส่วนของภายนอกมาพร้อมซันรูฟแบบพาโนรามิคและระบบเปิด-ปิดแบบ One-Touch แต่ว่ามีให้เฉพาะรุ่นท็อปรุ่นเดียวเท่านั้น อีกออฟชั่นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ระบบเปิด-ปิดประตูท้ายอัตโนมัติระบบนี้มีให้ใน 2 รุ่นบน มาพร้อมระบบจดจำระดับความสูงในการเปิดและระบบป้องกันการหนีบ ภายในห้องโดยสารอุปกรณ์จัดครบจัดเต็มมีทั้งอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงและอำนวยความสะดวกสบาย ระบบเครื่องเสียงมาพร้อมหน้าจอ Touch Screen ขนาด 5 และ 7 นิ้ว รองรับระบบ Nissan Connect สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก ระบบปรับอากาศเป็นแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา เบาะนั่งคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้า เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถพับได้แบบ 40 : 20 : 40 และเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถพับได้แบบ 50 : 50 เพิ่มความอเนกประสงค์ในการใช้พื้นที่วางสัมภาระ ในส่วนของเครื่องยนต์เป็นเครื่องเบนซินทั้งหมดมี 2 พิกัดให้เลือกคือ 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร เครื่อง 2.0 ลิตรเป็นเครื่องยนต์แบบ Direct Injection ส่วนเครื่อง 2.5 ลิตรเป็นระบบหัวฉีดแบบปกติ ซึ่งจะมีอยู่ในรุ่นท็อปเท่านั้น ด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์และออฟชั่นแล้ว All New Nissan X-Trail น่าจะเป็นที่พึงพอใจของผู้ที่กำลังสนใจรถประเภทนี้และน่าจะแชร์ส่วนแบ่งตลาดได้ไม่น้อย Nissan X-Trail รุ่นที่ 3 นี้เริ่มเผยโฉมครั้งแรกทั่วโลก เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2013 ก่อนจะเริ่มเผยสเป็คเวอร์ชันญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก เมื่อ 24 ตุลาคม 2013 จากนั้นในที่สุดก็มาเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2014 และในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2015 ก็ได้เปิดตัว X-Trail Hybrid ในไทยตามมา ตามกำหนดการปกติแล้ว Nissan X-Trail Minorchange จะต้องเปิดตัวในไทย ช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากสาเหตุบางประการทำให้ต้องเลื่อนเปิดตัวมาเป็นช่วงต้นปี 2019 นี้แทน

jumboslot

Nissan ประเทศไทย เตรียมเปิดตัว รถเอสยูวี รุ่นปรับโฉมใหม่ อย่าง Nissan X-Trail ครั้งแรกที่ประเทศไทย ที่ใครหลายคนต่างก็เฝ้ารอคอยกันมานาน ซึ่งแน่นอนอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้นคนไทยก็จะได้สัมผัสกันตัวเป็นๆ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2019 ประกาศยุติการทำตลาดในประเทศไทย
หลังนิสสันไทย ประกาศเลิกทำตลาด Nissan X-Trail เนื่องจากยอดขายลดลง Nissan ประเทศไทย ก็ต้องปรับตัวตามทิศทางตลาดโลกด้วยเช่นเดียวกัน โดยเนื้อหาในเอกสารระบุว่า ” เนื่องจากทางบริษัทฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนแผนดำเนินงานทางการตลาด และ การขายในประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานระยะยาว ของกลุ่ม บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ในภูมิภาคเอเชีย โดยได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้อง กับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในภูมิภาค และ จะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับรถยนต์ในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก รถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก และ รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมถึงรถยนต์พลังงานทางเลือก และ พลังงานไฟฟ้าในอนาคต “ จึงขอแจ้งการหยุดการผลิตและยกเลิกการจัดจำหน่ายรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 เป็นต้นไป

slot

นิสสัน สกายไลน์

นิสสัน สกายไลน์ เป็นรุ่นรถยนต์ขนาดกลาง รถสปอร์ต ของบริษัทนิสสัน โดยเริ่มผลิตครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จากบริษัทพรินซ์มอเตอร์ หลังจากนั้นก็ถูกรวมเข้ากับนิสสันในปี 2509 สกายไลน์นั้นได้ออกแบบและได้วิศวกรรมโดย Shinichiro Sakurai ซึ่งเขาเป็นหัวหน้าแผนกรถรุ่นนี้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 2554
Generation ที่ 1 (พ.ศ. 2500-2506)
นิสสัน สกายไลน์ โฉมที่ 1
สกายไลน์โฉมแรกนี้ เปิดตัวในเดือนเมษายน พ.ศ. 2500 ในช่วงแรกนี้ สกายไลน์ถูกผลิตในยี่ห้อ Prince Skyline ด้วยชื่อโฉม ALSI-1 ใช้เครื่องยนต์ GA-30 ขนาด 1482 ซีซี ให้กำลัง 60 แรงม้า ที่ 4,400 รอบต่อนาที มีน้ำหนัก 1,300 กิโลกรัม มีตัวถังรถ 2 แบบ คือ ซีดาน 4 ประตู และสเตชันวากอน 5 ประตู ในช่วงแรกๆ นี้ สกายไลน์เป็นที่รู้จักในฐานะรถครอบครัวระดับหรูหรา

jumbo jili

ในพ.ศ. 2501 มีการเปลี่ยนแปลงไมเนอร์เชนจ์ (การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยระหว่างโฉม เปลี่ยนแปลงไม่มากพอที่จะนับเป็นโฉมใหม่) ด้วยชื่อว่า ALSI-2 ใช้เครื่องยนต์ GA-4 ขนาด 1484 ซีซี ให้กำลัง 70 แรงม้า ที่ 4,800 รอบต่อนาที และยังมีสกายไลน์รุ่นสปอร์ต ชื่อว่า BLRA-3 ด้วย
และนอกจากนี้ สกายไลน์ยังมีการผลิตรถกระบะ ซึ่งภายหลังได้แยกตัวไปเป็นรุ่น Prince Miler และรถตู้ ซึ่งก็แยกตัวออกไปเป็นรุ่น Prince Skywayรวมแล้ว สกายไลน์ Generation ที่ 1 มียอดขายทั้งสิ้น 33,759 คัน (ไม่นับ Miler และ Skyway)
Generation ที่ 2 (พ.ศ. 2506-2511)
นิสสัน สกายไลน์ โฉมที่ 2
สกายไลน์ในช่วงนี้ การผลิตยังอยู่ในยี่ห้อ Prince Skyline ในช่วงแรกของโฉม ใช้ชื่อโฉมว่า S50 ใช้เครื่องยนต์ประเภท G-1 ต่อมาใน พ.ศ. 2507 ได้ออกรุ่นสปอร์ตออกมา ชื่อว่า S54 และได้รับความนิยมในระดับที่ใกล้เคียงกับรถ ปอร์เช่ 904 ในพ.ศ. 2510 ได้มีการเปลี่ยนแปลงไมเนอร์เชนจ์ ด้วยชื่อโฉม S57 ในช่วงนี้ ปรินซ์ได้รวมสายการผลิตเข้ากับนิสสันแล้ว เป็นรุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์ของนิสสัน และเครื่องยนต์ของ S57 เป็นเครื่องยนต์ขนาด 1487 ซีซี ที่มีกำลังถึง 88 แรงม้า หนึ่งในเครื่องยนต์ขนาดพันห้าร้อยซีซีที่แรงที่สุดในรถญี่ปุ่น

สล็อต

บริษัท นิสสัน มอเตอร์ เปิดตัวรถสปอร์ตตัวแม่ GT-R ใหม่ โมเดล 2017 เปิดตัวครั้งแรกที่งาน New York International Auto Show (NYIAS) Nissan GT-R เปิดซูปเปอร์คาร์สู่ตลาดในปี 2007 ดีไซน์ภายนอกสำหรับ นิสสัน GT-R ได้รับการปรับโฉมใหม่ให้ทันสมัยขึ้น แต่ก็มีเค้าเดิมที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ กระโปรงและกระจังหน้าเงาด้านแบบวีโมชั่นใหม่ใหญ่ขึ้นเพื่อระบายความร้อน เปลี่ยนลายกระจังเป็นช่องถี่มากขึ้น ส่วนล่างของกันชนทั้งด้านหน้าและหลัง ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด ได้กลิ่นรถแข่งมาแต่ไกล โครงสร้างตัวถังการออกแบบให้อากาศไหลผ่านได้ดีขึ้น มีช่องระบายอากาศด้านข้าง ถัดไปจากปลายท่อไอเสีย โดยไฟท้ายแบบนิสสันรูปวงแหวน 4 ดวง ถูกต้องตามหลักแอร์โรไดนามิกส์ สำหรับเครื่องยนต์ใส่วี 6 ขนาด 3.8 ลิตร กำลัง 565 แรงม้า ม้าเพิ่มมา 20 ตัว จากรุ่นก่อน GT-R 2016 ที่มี 545 แรงม้า และระบบเทอร์โบคู่ ระบบเกียร์แบบดูอัลคลัทช์ 6 สปีด ระบบระบายไอเสียเป็นท่อไอเสียใช้ไทเทเนียม ดีไซน์ภายในห้องโดยสาร GT-R 2017 แผงคอนโซลหน้าและหน้าปัดใช้วัสดุหนังชั้นดี ตัดเย็บด้วยความประณีตโดยทีมช่างฝีมือ Takumi สไตล์ Horizontal Flow มีระบบอินโฟเทนเมนท์รุ่นใหม่ หน้าจอดีสเพลย์แบบทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ปรับลดสวิตช์ปุ่มเหลือเพียง 11 ปุ่ม ทำให้การใช้งานง่ายขึ้น รวมถึงแพดเดิ้ลชิฟท์ที่พวงมาลัย

สล็อตออนไลน์

Nissan GT-R 2017 ภายในเพิ่มความหรูหราด้วยการใช้หนัง Nappa หุ้มแดชบอรด์ ห้องโดยสารมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ น้ำตาล ราคุดา แทน, แดง แอมเบอร์ เรด และ ครีม ไอวอรี่ สำหรับกำหนดการส่งมอบ Nissan GT-R 2017 ประมาณช่วงกลางปี 2020 ไม่นานเกินรอ นิสสัน เปิดตัว NISSAN GT-R NISMO ปี 2017 สู่ความเหนือชั้นอีกระดับ พร้อมพิสูจน์อีกขีดขั้นของสมรรถนะที่สนาม เนือร์บวร์คริง ประเทศเยอรมนี (27 พฤษภาคม 2559) – บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยวันนี้ว่า ทางนิสสัน มอเตอร์ สปอร์ต หรือ NISMO ได้เปิดตัว Nissan GT-R NISMO ใหม่ เวอร์ชันปี 2017 เป็นครั้งแรกที่สนามเนือร์บวร์คริง ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นสนามที่มีชื่อเสียง และได้ชื่อว่าเป็นสนามที่มีระยะทางต่อรอบยาวที่สุด และยังท้าทายที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นสนามแข่งที่นิสสัน ใช้ในการทดสอบ ปรับแต่ง และพัฒนา GT-R ให้มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับรุ่นปกติ Nissan GT-R NISMO ใหม่ เวอร์ชันปี 2017 นั้น ได้รับการปรับแต่งรายละเอียดทั้งภายใน ภายนอก โดยรูปลักษณ์ภายนอกส่วนหน้าของ GT-R NISMO ได้รับการปรับให้โฉมเฉี่ยวขึ้น โดยมีไฮไลท์อยู่ที่กันชนและกระจังหน้าใหม่แบบ V-Motion ที่เป็นโครเมียมรมดำซึ่งถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรับและระบายอากาศได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมในเชิงอากาศพลศาสตร์ของตัวรถ และยังช่วยให้เครื่องยนต์สามารถทำงานอย่างเต็มสมรรถนะ สำหรับฝากระโปรง ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้มีความแข็งแกร่งขึ้นนั้น สร้างความมั่นใจในการขับขี่ในย่านความเร็วสูง โดยจะไม่เกิดการบิดตัวหรือเสียรูป และทำให้ตัวรถคงลื่นไหลไปตามหลักอากาศพลศาสตร์ได้ในทุกระดับความเร็ว อย่างไรก็ตามความแตกต่างใน Nissan GT-R NISMO ใหม่ คือ กันชน และ สเกิร์ตหน้า ที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ อย่างพิถีพิถันและมีความละเอียด โดยช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า TAKUMI ซึ่งชั้นของเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ จะถูกวางทับและเหลื่อมซ้อนกันอย่างระมัดระวังและลงตัว เพื่อให้มาซึ่งความแข็งแกร่ง มากที่สุด โดยการเสริมด้วยชุดแต่งรอบคันของ NISMO ทั้งหมดนี้ จะเพิ่มการไหลของกระแสอากาศรอบคัน พร้อมเพิ่มแรงกด (Downforce) และ ปรับปรุงการไหลของอากาศที่ซุ้มล้อ ทำให้รถมีประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยในภาพรวมนั้น รูปทรงของรถที่ได้ถูกปรับปรุงนี้ สามารถสร้างแรงกดได้มากกว่ารถยนต์ในสายการผลิตรุ่นอื่นๆ ของ Nissan เท่าที่เคยมีมา ทำให้การทรงตัวดีขึ้นอย่างยิ่งยวด ในช่วงความความเร็วสูง ด้านรูปลักษณ์ภายใน ห้องโดยสารของ GT-R NISMO ใหม่ยังคงได้รับการปรับปรุงตามแบบที่รุ่นปกติของ GT-R เวอร์ชันปี 2017 ด้วยสัมผัสและความสะดวกสบายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แผงหน้าปัด พวงมาลัย และพนักวางแขนตรงกลาง ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยการใช้วัสดุชั้นดีคุณภาพสูงอย่างหนัง Alcantara สำหรับการจัดวางรายละเอียดต่างๆ บนแผงคอนโซลกลาง ได้รับการปรับปรุงใหม่ที่เน้นความเรียบง่าย ด้วยการรวมระบบนำทางและระบบเครื่องเสียง (ลดจำนวนของปุ่มและสวิทช์จากเดิม 27 เหลือเพียงแค่ 11 ปุ่มเท่านั้น) และหน้าจอแบบทัชสกรีนขนาดใหญ่ 8 นิ้ว แสดงผล Icon ของระบบต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ง่ายต่อการมองเห็นและใช้งาน สำหรับปุ่มควบคุมในระบบ Display Command ที่อยู่บนแผงคอนโซลกลางผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์

jumboslot

ช่วยให้การใช้งานทำได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องละมือมาสัมผัสที่หน้าจอซึ่งสะดวกในกรณีที่กำลังขับรถด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ในรุ่น NISMO ความโดดเด่นจะอยู่ที่เบาะนั่งแบบบัคเก็ตซีต ของ Recaro ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิเศษเพื่อรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ มีการเสริมความสวยงามด้วยหนัง Alcantara สีแดงในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของ NISMO ในด้านสมรรถนะนั้นถือว่าเยี่ยมยอดโดย GT-R NISMO ใหม่ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนสำคัญมาจากโครงสร้างตัวถังที่เสริม ความแข็งแกร่ง (Reinforced Body) ทำให้ทีมวิศวกรสามารถเลือกใช้โช้กอัพ สปริง และเหล็กกันโคลงสำหรับ GT-R NISMO เพื่อเพิ่มแรงกดได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการควบคุมรถที่ดีเพิ่มมากขึ้น โดยสามารถเห็นได้จากการขับแบบสลา-ลอม และการเข้าโค้ง นอกจากนี้ระบบโช้กอัพแบบปรับระดับได้ของ Bilstein รุ่น DampTronic ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการปรับระดับความหนืดของโช้กอัพให้สอดคล้องกับการขับขี่หลากหลายแบบ ที่ถูกนำมาใช้กับ GT-R นั้น ยังคงมีอยู่ในเวอร์ชัน NISMO แต่มีการปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อให้รองรับกับ สมรรถนะของเครื่องยนต์ ให้สามารถถ่ายทอดลงสู่พื้นถนนได้อย่างเต็มที่ ขุมพลังของ GT-R NISMO ยังคงใช้เครื่องยนต์ VR38DETT แบบ วี 6 24 วาล์ว ขนาด 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ ที่ให้กำลังสูงสุดกว่า 600 แรงม้า มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบคลัตช์คู่ 6 จังหวะ ปรับแต่งในรายละเอียดแบบเดียวกับการแข่งขันของ GT3 ถือเป็นอีกหนึ่งการพัฒนาที่ NISMO ได้สั่งสมจากประสบการณ์ของเวทีมอเตอร์สปอร์ตที่ผ่านมา แต่ละบล็อกจะได้รับการประกอบด้วยมือตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งเสร็จสิ้นภายในห้องพิเศษที่ใช้ประกอบเครื่องยนต์ระดับสูง จากช่างฝีมือระดับสูงสุดของนิสสัน (ที่เรียกว่า TAKUMI) ซึ่งที่ด้านหน้าเครื่องยนต์แต่ละเครื่องจะมีป้ายอะลูมิเนียมแสดงชื่อ TAKUMI ผู้ที่ประกอบเครื่องยนต์นี้อีกด้วย ด้วยสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น GT-R NISMO ใหม่ ยังได้รับการยกระดับในด้านอื่นๆให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยสามารถขับขี่ หรือตอบสนองบนเส้นทางที่คดเคี้ยวได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงการขับในสนามแข่ง ซึ่งนายฮิโรชิ ทามูระ หัวหน้าทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของโครงการพัฒนา GT-R NISMO และ GT-R กล่าวว่า “GT-R NISMO ได้เน้นย้ำความเป็นตัว ‘R’ ที่สื่อถึงการแข่งขัน (Racing) โดยตัวรถสามารถตอบสนองได้ทุกสนามแข่ง สร้างความตื่นเต้นและความเร้าใจในระดับสูงสุดให้กับผู้ขับ ทำให้ GT-R เวอร์ชัน NISMO รุ่นปี 2017 กลายเป็นรถสปอร์ตที่มีสมดุลที่ดีขึ้น ไม่เพียงแค่ด้านสมรรถนะของรถเท่านั้น แต่ยังให้สัมผัสในทุกๆ ด้านด้วยระดับสูงสุด และนี่คือผลสำเร็จที่ตอบแทนความพยายามอย่างไม่หยุดหย่อนของเราที่จะส่งผ่านความพึงพอใจในระดับสูงสุด ของประสบการณ์ให้แก่ผู้ขับขี่” GT-R NISMO รุ่นปี 2017 มีจำหน่ายด้วยกัน 5 สี โดยได้รับการประกอบที่โรงงานนิสสันใน เมืองโตชิกิ ประเทศญี่ปุ่น ส่วนเครื่องยนต์ นั้นประกอบด้วยมือของยอดฝีมือช่าง ทาคูมิ จากโรงงานนิสสันที่ เมือง โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ข้อมูลเฉพาะทางเทคนิค (สำหรับ EUR spec) เครื่องยนต์ VR38DETT แบบ V6 DOHC ปริมาตรกระบอกสูบ : ซีซี 3,800 แรงม้าสูงสุด 441kW(600PS)/6,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 652 นิวตัน-เมตร(66.5 กก.- ม.) / 3,600-5,600 รอบต่อนาที ขนาดและน้ำหนัก ความยาวทั้งหมด 4690 mm ความกว้างทั้งหมด (ไม่รวมกระจกมองข้าง) 1895 mm ความสูง 1370 mm ระยะฐานล้อ 2780 mm สำหรับ NISMO เป็นชื่อย่อของ Nissan Motorsports ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2527 ซึ่งตลอดระยะเวลา 32 ปีที่ผ่านมา นิสสันได้ใช้แบรนด์ นิสโม ในการทำกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตจนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเยี่ยม เช่น การกวาดชัยชนะถึง 9 รายการในการแข่งขันระดับโลกเมื่อปี 2558 รวมถึงการแข่งขันรายการซุปเปอร์จีที ที่นิสสันสามารถคว้าแชมป์ทั้งรุ่น GT500 และ GT300 นิสโมมีส่วนสำคัญในการสร้างแบรนด์ของนิสสันให้แข็งแกร่ง ในฐานะแบรนด์ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ที่ตื่นเต้น เร้าใจ โดยหน้าที่หลักของนิสโมคือ พัฒนาเทคโนโลยีและสมรรถนะสำหรับกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ต และพัฒนา Road Cars หรือรถยนต์ที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้วยการนำประสบการณ์ แรงบันดาลใจ และเทคโนโลยีจากสนามแข่ง มาใช้ในการพัฒนาสมรรถนะรถของนิสสันมีความเหนือชั้นขึ้นไปอีก ทั้งด้านการดีไซน์ การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ การควบคุมรถ และสมรรถนะ นิสสัน ประเทศไทย ประกาศเปิดตัวนำ Nissan GT-R 50th Anniversary มาจัดแสดง ณ Motor Expo 2019 โดยราคาจะอยู่ที่ 11,300,000 บาท มาพร้อมความหรูหราและสปอร์ต ขนาดเครื่องยนต์ 3.8 ลิตร พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 300 กม./ชม. ถือว่าเป็นรุ่นพิเศษ ฉลองครบรอบ 50 ปี ของรหัสแรง GT-R

slot

นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 5 K14 (พ.ศ. 2560–ปัจจุบัน)

นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 5 ใช้รหัสว่า K14 ได้เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ปารีส มอเตอร์โชว์ ปี พ.ศ. 2559 โดยมีการออกแบบภายนอกใหม่ทั้งหมด และใช้แพลทฟอร์ม CMF-B ส่วนสีภายนอกมีให้เลือกมากถึง 10 สี โดยการวางจำหน่ายเริ่มที่ยุโรปในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2560 นิสสัน มาร์ช ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร 97 แรงม้า, เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 0.9 ลิตร 90 แรงม้า และเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร 70 แรงม้า ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้น่าจะทำให้นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 5 กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้งหลังจากที่ชาวยุโรปมองว่านิสสัน มาร์ช รุ่นก่อนนั้นค่อนข้างจืดชืดเมื่อเทียบกันรุ่นก่อน (K12) ที่มีการออกแบบที่ดีกว่า รวมไปถึงคุณภาพที่ต่ำกว่าความคาดหวัง ทั้งหมดนี้จึงทำให้นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 5 จำเป็นต้องดูดีขึ้นขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงจึงเริ่มขึ้นด้วยรถต้นแบบ Nissan Sway Concept

jumbo jili

นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 5 เปิดตัวในประเทศอินโดนีเซียและประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2561 สำหรับตลาดรถญี่ปุ่น จะมีการนำเข้าจากประเทศไทย และไม่มีจำหน่ายในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ยุคเจ้าขุนมูลนายของญี่ปุ่นมีลักษณะจากการถือกำเนิดและการครอบงำของชนชั้นนักรบซะมุไร ใน พ.ศ. 1728 จักรพรรดิโกะ-โทะบะทรงแต่งตั้งซะมุไร มินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ เป็นโชกุน หลังพิชิตตระกูลไทระในสงครามเก็มเป โยะริโตะโมะตั้งฐานอำนาจในคะมะกุระ หลังเขาเสียชีวิต ตระกูลโฮโจเถลิงอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธสำนักเซนจากจีนในยุคคะมะกุระ (พ.ศ. 1728–1876) และได้รับความนิยมในชนชั้นซะมุไร รัฐบาลโชกุนคะมะกุระขับไล่การบุกครองของมองโกลสองครั้งใน พ.ศ. 1817 และ 1824 แต่สุดท้ายถูกจักรพรรดิโกะ-ไดโงะโค่นล้ม ส่วนจักรพรรดิโกะ-ไดโงะก็ถูกอะชิกะงะ ทะกะอุจิพิชิตอีกทอดหนึ่งใน พ.ศ. 1879

สล็อต

อะชิกะงะ ทะกะอุจิตั้งรัฐบาลโชกุนในมุโระมะชิ จังหวัดเกียวโต เป็นจุดเริ่มต้นของยุคมุโระมะชิ (พ.ศ. 1879–2116) รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะรุ่งเรืองในสมัยของอะชิกะงะ โยะชิมิสึ และวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนศาสนาพุทธแบบเซ็น (ศิลปะมิยะบิ) แพร่กระจาย ต่อมาศิลปะมิยะบิวิวัฒน์เป็นวัฒนธรรมฮิงะชิยะมะ และเจริญจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21–22) อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะสมัยต่อมาไม่สามารถควบคุมขุนศึกเจ้าขุนมูลนาย (ไดเมียว) ได้ และเกิดสงครามกลางเมือง (สงครามโอนิน) ใน พ.ศ. 2010 เปิดฉากยุคเซ็งโงะกุ (“รณรัฐ”) ยาวนานนับศตวรรษ
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีพ่อค้าและมิชชันนารีคณะเยสุอิตจากประเทศโปรตุเกสเดินทางถึงญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเริ่มการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก (การค้านัมบัน) โดยตรง ทำให้โอะดะ โนะบุนะงะได้เทคโนโลยีและอาวุธปืนยุโรปซึ่งเขาใช้พิชิตไดเมียวคนอื่นหลายคน การรวบอำนาจของเขาเริ่มยุคอะซุชิโมะโมะยะมะ (พ.ศ. 2116–2146) หลังโนะบุนะงะถูกอะเกะชิ มิสึฮิเดะลอบฆ่าใน พ.ศ. 2125 โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ผู้สืบทอดของโนะบุนะงะ รวมประเทศใน พ.ศ. 2133 และเปิดฉากบุกครองเกาหลี 2 ครั้งใน พ.ศ. 2135 และ 2140 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

สล็อตออนไลน์

หลังฮิเดะโยะชิถึงแก่อสัญกรรม โทะกุงะวะ อิเอะยะซุตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนบุตรของฮิเดะโยะชิและใช้ตำแหน่งให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนทางการเมืองและการทหาร อิเอะยะซุเอาชนะไดเมียวต่าง ๆ ได้ในยุทธการที่เซะกิงะฮะระใน พ.ศ. 2143 ต่อมาใน พ.ศ. 2146 จักรพรรดิโกะ-โยเซจึงทรงแต่งตั้งเขาเป็นโชกุน เขาตั้งรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะในเอะโดะ (กรุงโตเกียวปัจจุบัน) รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะออกมาตรการซึ่งรวมบุเกะโชะฮัตโตะเป็นจรรยาบรรณสำหรับควบคุมไดเมียวอัตตาณัติ และนโยบายซะโกะกุ (“ประเทศปิด”) ใน พ.ศ. 2182 ซึ่งกินเวลานานสองศตวรรษครึ่งและเป็นยุคเอกภาพทางการเมืองที่เรียก ยุคเอะโดะ (พ.ศ. 2146–2411) การศึกษาศาสตร์ตะวันตก ที่เรียก รังงะกุ ยังคงมีต่อผ่านการติดต่อกับดินแดนแทรกของเนเธอร์แลนด์ที่เดจิมะในนางาซากิ ยุคเอะโดะยังทำให้โคะกุงะกุ (“การศึกษาชาติ”) หรือการศึกษาประเทศญี่ปุ่นโดยคนญี่ปุ่น เจริญด้วยตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึงปี ค.ศ. 1868 ประเทศญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบทหารเจ้าขุนมูลนายโชกุนซึ่งปกครองในพระปรมาภิไธยจักรพรรดิ ประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่ระยะแยกอยู่โดดเดี่ยวอันยาวนานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งยุติในปี ค.ศ. 1853 เมื่อกองเรือสหรัฐบังคับให้ประเทศญี่ปุ่นเปิดต่อโลกตะวันตก หลังความขัดแย้งและการก่อการกำเริบภายในเกือบสองทศวรรษ ราชสำนักจักรวรรดิได้อำนาจทางการเมืองคืนในปี ค.ศ. 1868 ผ่านการช่วยเหลือของหลายตระกูลจากโชชูและซัตสึมะ และมีการสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่น

jumboslot

ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชัยในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้ประเทศญี่ปุ่นขยายจักรวรรดิระหว่างสมัยแสนยนิยมเพิ่มขึ้น สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองปี พ.ศ. 2480 ขยายเป็นบางส่วนของสงครามโลกครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2484 ซึ่งยุติในปี พ.ศ. 2488 นับแต่การลงมติเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับบทวนวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 ระหว่างการยึดครองของผู้บังคับบัญชาสูงสุดสำหรับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร ประเทศญี่ปุ่นธำรงระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและราชาธิปไตยภายใต้รัฐรรมนูญ โดยมีจักรพรรดิเป็นประมุขแห่งรัฐและสภานิติบัญญัติจากการเลือกตั้ง เรียก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

slot

นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 4 K13 (พ.ศ. 2553 – ปัจจุบัน)

นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 4 ใช้รหัสการพัฒนาว่า W02A ภายหลังได้ใช้รหัสตัวถังเป็น K13 เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ. 2552 และเริ่มผลิตในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 รวมถึงประเทศไทยด้วย หลังจากผลิตนิสสัน มาร์ชรุ่นที่ 1 ในประเทศไทยแล้วล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเมื่อกว่า 20 ปีก่อน นิสสันก็ตัดสินใจผลิตนิสสัน มาร์ชในประเทศไทยอีกครั้ง โดยใช้ชื่อในการโฆษณาว่า “นิสสัน อีโคคาร์” (Nissan Ecocar) ซึ่งจะใช้เครื่องยนต์ 1200 ซีซี 3 สูบ ซึ่งสามารถประหยัดน้ำมันได้ไม่แพ้รุ่นก่อนๆ โดยนิสสัน มาร์ช รุ่นใหม่นี้ ผ่านเกณฑ์มาตรฐานข้อกำหนดรถประหยัดพลังงานสากล (อีโคคาร์) ซึ่งมีข้อกำหนดดังนี้

jumbo jili

ประหยัดน้ำมันไม่ต่ำกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร
ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 120 กรัมต่อกิโลเมตร และได้รับมาตรฐานไอเสียสะอาดระดับยูโร 4
มีความปลอดภัยตามมาตรฐานยุโรป
ใช้เครื่องยนต์ขนาดลูกสูบไม่เกิน 1300 ซีซี สำหรับเครื่องเบนซิน และไม่เกิน 1400 ซีซี สำหรับเครื่องดีเซล
รถที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานอีโคคาร์ ในประเทศไทย จะได้รับผลประโยชน์ในการลดภาษีสรรพสามิตเหลือร้อยละ 17 (รถเก๋งที่ไม่ผ่านเกณฑ์อีโคคาร์ ต้องจ่ายภาษีร้อยละ 30-50) และในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556 นิสสัน มาร์ช ก็ได้มีการไมเนอร์เชนจ์ขึ้น โดยปรับโฉมให้ดูสปอร์ตขึ้น โดนเปลี่ยนรูปแบบกระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าใหม่ ไฟท้ายแบบ LED นิสสัน มาร์ช (Nissan March) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ นิสสัน ไมครา (Nissan Micra) เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก (Subcompact Car) รุ่นหนึ่งที่ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นชื่อ นิสสัน มีรูปทรงแบบ Hatchback (ท้ายกุด ไม่มีกระโปรงหลัง) ซึ่งในปัจจุบัน คนไทยหลายๆ คน เริ่มรู้จัก นิสสัน มาร์ช ในฐานะของรถอีโคคาร์ (Ecocar) ที่ประหยัดน้ำมันมาก (ประมาณ 20-25 กิโลเมตรต่อลิตร)

สล็อต

ในช่วง พ.ศ. 2516 ลากยาวไปจนถึงช่วง พ.ศ. 2523 ได้เกิดวิกฤติน้ำมันแพงขึ้นรอบหนึ่ง (ไม่ใช่รอบที่แพงอยู่ในปัจจุบันนี้) ผู้ที่ต้องการซื้อรถหลายคนจึงหันไปให้ความสนใจกับรถขนาดเล็ก ประหยัดน้ำมัน ซึ่งในขณะนั้น นิสสันได้ผลิตรถยนต์ Hatchback ขนาดเล็กมากและประหยัดน้ำมันอยู่แล้วรุ่นหนึ่ง ชื่อว่า นิสสัน เชอร์รี (Nissan Cherry) แต่ทว่า นิสสัน เชอร์รี กลับทำยอดขายได้ไม่ดีนักด้วยเหตุผลหลายประการ ทางนิสสันจึงเห็นว่า น่าจะทำรถ Hatchback ขนาดเล็กมากขึ้นมาใหม่รุ่นหนึ่งที่ต้องมีรูปทรงทันสมัย ดึงดูดใจคนรุ่นใหม่(ในช่วงนั้น) บำรุงรักษาง่าย ขับขี่ง่าย ราคาไม่แพง และประหยัดน้ำมัน

สล็อตออนไลน์

ใน พ.ศ. 2521 นิสสันจึงได้จัดตั้งทีมงานพัฒนารถรุ่นดังกล่าว โดยตั้งชื่อโครงการนี้ว่า The KX Plan ซึ่งหลังจากทำการพัฒนาได้ 3 ปี ใน พ.ศ. 2524 นิสสันก็เปิดตัวรถต้นแบบรุ่นใหม่ก่อนการจำหน่ายจริง 1 ปี ใช้ชื่อต้นแบบว่า KX-018 แต่ยังขาดชื่อที่เหมาะสมในการจำหน่ายจริง นิสสันจึงได้จัดรายการประกวดตั้งชื่อรถรุ่นใหม่ขึ้น ซึ่งก็มีผลตอบรับดีมาก ภายในระยะเวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง มีผู้ส่งชื่อร่วมประกวดสูงถึง 5.65 ล้านคน แต่ทว่า เมื่อประกาศผลโหวตออกไป ชื่อที่ได้รับการโหวตสูงสุดเป็นอันดับแรกๆประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกสหประชาชาติ OECD จี7 จี8 และจี20 และถือเป็นมหาอำนาจ มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกตามจีดีพีราคาตลาด และอันดับ 4 ของโลกตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ และยังเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลกด้วย ประเทศญี่ปุ่นมีกำลังแรงงานทักษะสูงและถือเป็นประเทศที่มีการศึกษาสูงสุดประเทศหนึ่งของโลก โดยมีร้อยละของพลเมืองมีวุฒิการศึกษาขั้นตติยภูมิ (tertiary education) สูงสุดประเทศหนึ่งของโลก แม้ประเทศญี่ปุ่นสละสิทธิประกาศสงคราม แต่ยังมีกองทหารสมัยใหม่และมีงบกองทัพมากเป็นอันดับ 8 ของโลก ซึ่งใช้สำหรับบทบาทป้องกันตนเองและรักษาสันติภาพ ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีมาตรฐานการครองชีพและดัชนีการพัฒนามนุษย์สูง ประชากรมีความคาดหมายคงชีพสูงสุดและมีอัตราการเสียชีวิตทารกต่ำสุดอันดับ 3 ในโลก ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องภาพยนตร์ที่เก่าแก่และกว้างขวาง อาหารหลากชนิดและการเข้ามีส่วนร่วมสำคัญในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปัจจุบันสันนิษฐานว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ชื่อประเทศว่า “นิฮง/นิปปง (日本) ” ตั้งแต่ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 13 ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ และทำให้ญี่ปุ่นมักถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ชื่อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกับราชวงศ์สุยของจีนและหมายถึงการที่ญี่ปุ่นอยู่ในทิศตะวันออกของจีน ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในชื่อยะมะโตะ

jumboslot

ชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่นในภาษาอื่น ๆ เช่น เจแปน (อังกฤษ), ยาพัน (เยอรมัน), ฌาปง (ฝรั่งเศส), ฆาปอน (สเปน) รวมถึงคำว่า ญี่ปุ่น ในภาษาไทย น่าจะมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนหรือแต้จิ๋วที่ออกเสียงว่า “ยิดปุ่น” (ฮกเกี้ยน) หรือ “หยิกปึ้ง” (แต้จิ๋ว) ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำอ่านตัวอักษรจีน 日本国 ซึ่งอ่านว่า “จีปังกู” แต่ในสำเนียงแมนดารินอ่านว่า รื่อเปิ่นกั๋ว หรือย่อ ๆ ว่า รื่อเปิ่น ส่วนในภาษาที่ใช้ตัวอักษรจีนอื่น ๆ เช่นภาษาเกาหลี ออกเสียงว่า “อิลบน” และภาษาเวียดนาม ที่ออกเสียงว่า “เหญิ่ตบ๋าน” จะเรียกประเทศญี่ปุ่นโดยออกเสียงคำว่า 日本 ด้วยภาษาของตนเอง

slot

นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 3 (พ.ศ. 2545 – 2553)

นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 3 ใช้รหัสตัวถังว่า K12 พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของรูปแบบ B-Platform เปิดตัวใน พ.ศ. 2544 เริ่มการผลิตกันอย่างจริงจังใน พ.ศ. 2545 ตัวถังใหม่มีความโค้งมนมากขึ้น สูงขึ้น และกว้างขึ้น ซึ่งสือมวลชน รวมถึงสถาบันการออกแบบชั้นนำหลายแห่ง ก็ต่างออกมายอมรับว่างานชิ้นนี้มีดีไซน์แตกต่าง ดูเป็นเอกลักษณ์ ด้วยการเน้นการเพิ่มพื้นที่ในห้องโดยสาร การใช้ไฟหน้ารูปทรงแบบดวงตาการ์ตูนบักส์ บันนี รูปทรงรถแบบลู่ลมช่วยลดแรงต้านลมระหว่างการวิ่ง (ค่า Cd.=0.32) เสาหลังคาหลังถูกลดความยาวลงเพื่อลดจุดบอดของสายตาขณะถอยจอด และมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ คือ Keyless Ignition คือจะมีรีโมทกุญแจไว้ให้เจ้าของรถ เมื่อเจ้าของรถพกรีโมทกุญแจเข้ามาในรถ จะสามารถกดปุ่มสตาร์ทรถได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้กุญแจ (เหมือน โตโยต้า ยาริส ในปัจจุบัน)

jumbo jili

เครื่องยนต์เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์แบบ CR โดยใช้เครื่องยนต์ CR10DE เป็นรุ่นมาตรฐาน เกียร์ธรรมดาถูกยกเลิกไปในเกือบทุกรุ่น ยกเว้นรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ประเภท CR12DE จะยังผลิตเกียร์ธรรมดาให้เลือกเป็นพิเศษ มีสีตัวถังให้เลือกถึง 12 สี ในช่วงนั้น บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (สยามกลการในยุคนั้น) ได้มีการนำมาร์ชรุ่นแรกเข้ามาขายในประเทศไทยด้วย แต่ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ด้วยเพราะมาร์ชในประเทศไทยได้ตัดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกออกมากเกินกว่าที่ลูกค้าจะยอมรับได้ มาร์ชในญี่ปุ่นมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากกว่า ดูน่าขับมากกว่า ในขณะที่โตโยต้า สตาร์เล็ต ให้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาเยอะกว่าและดูปราดเปรียวกว่า เพราะเป็นโมเดลเชนจ์ที่เปิดตัวตามหลัง March 3 ปี แต่ประเทศไทยเพิ่งนำมาขายจึงหมดโอกาสกวาดยอดขายก่อน Starlet จะเข้ามา หรือแม้แต่ซูซูกิ คัลตัส ที่บริษัทในเครือสยามกลการซึ่งก็คือสยามอินเตอร์เนชั่นแนล คอร์เปอเรชั่น (ปัจจุบันคือ ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย) นำเข้ามา จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน มีทั้งเข็มวัดรอบสวยหรู เบาะสวยหรู มีสปอยเลอร์ ดูน่าเร้าใจมากกว่าอีกทั้งในช่วงนั้นรถที่คนไทยนิยมมากที่สุด คือรถเก๋งซีดานขนาดเล็ก เช่น มิตซูบิชิ แลนเซอร์, โตโยต้า โคโรลล่า, ฮอนด้า ซีวิค, นิสสัน ซันนี่ ฯลฯ เพราะมีความคุ้มค่าลงตัวที่สุด (บรรทุกได้หลายคน ใช้ได้ทั้งเป็นรถครอบครัวและรถส่วนตัว และไม่สิ้นเปลืองน้ำมันมากนัก) อีกทั้งคนไทยในสมัยนั้นมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อรถท้ายกุด ด้วยเกรงว่าผู้โดยสารที่เบาะหลังจะได้รับอันตรายได้ง่ายหากถูกชนท้ายเพราะไม่มีกระโปรงหลังคอยกั้น ทำให้ยอดขาย นิสสัน มาร์ชในประเทศไทยมีเพียง 30 คันต่อเดือนเท่านั้น (ทั่วประเทศ) ขณะที่ซันนี่ทำยอดขาย 200 คันต่อเดือน ส่วนสตาร์เล็ตชะตากรรมก็ไม่ต่างจากมาร์ช

สล็อต

ถึงขั้นเชิญสื่อมวลชนไปเยี่ยมโรงงานและให้ทดลองขับก่อนวางจำหน่าย ทำยอดขายแค่ 50 คันต่อเดือนเท่านั้น หลังจากนั้นจึงแผ่วปลายลงไป จนบริษัทนิสสันในประเทศไทยหรือสยามกลการต้องยุติการขายมาร์ชอย่างเป็นทางการลง ใน พ.ศ. 2530 ก่อนที่จะมาเปิดตัวมาร์ชรุ่นที่ 4 อีกครั้งในปัจจุบัน นับจากนั้นนิสสันก็ไม่มีแผนประกอบรถเล็กวางจำหน่ายในไทยอีกเลย จนกระทั่ง Toyota กับ Honda ได้เปิดตัว Soluna และ City เพื่ออุดช่องว่างรถเล็กราคา 3-4 แสนบาท ในขณะที่ Corolla และ Civic ราคาแตะ 6 แสนบาทแล้ว ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำให้บรรดารถเล็กจากเกาหลีที่เคยได้รับความนิยมต้องม้วนเสื่อกลับไป และนิสสันเองอยากจะบุกตลาดรถเล็กบ้าง ทั้งๆ ที่ตัวเองประสบความล้มเหลวในตระกูล NV ซึ่งเป็นโครงการทำรถเล็กเพื่อตลาด ASEAN แต่เนื่องจากในสมัยนั้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มเจอปัญหา ทำให้เป็นการนำ Sunny California และ Wingroad มาประกอบขายในไทย ในชื่อ NV-A แต่เนื่องจากราคาไม่ถูกจริงนัก

สล็อตออนไลน์

และมีการเปิดเสรีรถนำเข้าแล้ว อีกทั้งคนไทยไม่นิยมรถ Station Wagon นัก จึงต้องมีการดัดแปลงเป็นรถกระบะหัวตั๊กแตน ในชื่อ NV Pickup (NV-B) ที่ทำยอดขายใช้ได้ และยังมีข่าวลือว่าสยามกลการจะดัดแปลง NV-A เป็นรถซีดานขนาดเล็กเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งในสมัยนั้น และตั้งราคาไว้ที่ 299,000 บาท ซึ่งไม่มีใครเชื่อ เพราะไม่น่าเป็นไปได้ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ หลังจากนั้นภาพลักษณ์ความยิ่งใหญ่ของนิสสันก็ค่อยๆ เลือนหายไปเพราะไม่มีรถเล็กอุดช่องว่าง จนกระทั่งเปลี่ยนมือไปสู่ยุคของพรเทพ พรประภา ความคิดที่จะทำรถเล็กก็ไม่เป็นรูปเป็นร่างซักที จนกระทั่งช่วงเปิดตัว Sunny NEO เมื่อเดือนกันยายนปี พ.ศ. 2543 ตอกย้ำว่ารถเล็กนั้นโตยากทั้งๆ ที่ผ่านช่วงวิกฤติเศรษฐกิจมาได้ไม่นานนัก แต่จากการโหมกระหน่ำของ Toyota Soluna Vios และ Honda City ทำให้ตลาดรถยนต์นั่งขยายตัวเร็วมากจนทำให้นิสสันยากที่จะขยับขยายยอดขายให้ใกล้เคียงคู่แข่งได้ เนื่องจากในสมัยนั้นนิสสันมีรถยนต์นั่งเพียงแค่ Sunny NEO และ Cefiro ทำตลาดเท่านั้น ทำให้นิสสันไม่สามารถครอบครองยอดขายอันดับ 3 รองจากอีซูซุได้อีกเลยจนถึงปัจจุบัน เมื่อคู่แข่งโกยฐานระดับล่างก็เท่ากับว่าสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งกว่านิสสันจนยากที่จะปฏิเสธ แต่ในสมัยนั้นหลังจากส่ง Carlos Ghosn มาบริหารตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ก็ไม่มีแผนที่จะทำรถเล็กเพื่อตลาด ASEAN เนื่องจากบริษัทแม่ในญี่ปุ่นบีบบังคับให้สยามกลการขายหุ้นอย่างเบ็ดเสร็จจึงไม่มีรถใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด จนกระทั่งเข้ามาบริหารเองได้ในปี พ.ศ. 2546 จนถึงปัจจุบันในการออกแบบได้ใช้โปรแกรม CAD มาช่วยในการสร้าง และออกแบบให้มีรูปทรงโค้งมน กลมกลึง ดูเป็นมิตรกว่ารุ่นเดิมมาก นอกจากนี้ยังได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์แบบ CG10DE 4สูบ DOHC 16 วาล์ว 987 ซีซี เป็นเครื่องรุ่นมาตรฐาน

jumboslot

มีระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด กับเกียร์อัตโนมัติ CVT และได้สร้างสถิติอย่างน่าชื่นชม โดยได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีของญี่ปุ่น (Car of the Year Japan) ประจำปี 1992 และเป็นรถรุ่นแรกของญี่ปุ่นที่คว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป (European Car of the Year) ประจำปี 1993 ซึ่งในรายการทีวีซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง แชมป์เฉือนแชมป์ ตอน World Records ที่ออกอากาศในประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2552 ในการแข่งขันดริฟท์จอดรถ ก็ใช้รถ นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 2 ในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 2 ยังมีความปลอดภัยไม่มากเท่าที่ควร จากการทดสอบขององค์การทดสอบความปลอดภัยของยานยนต์ Euro NCAP ได้ประเมินว่า นิสสัน มาร์ช รุ่นที่ 2 มีความปลอดภัยเพียงระดับ 2 ดาว จาก 5 ดาว

slot