แอสตันมาร์ติน แวนควิซ

แอสตันมาร์ติน แวนควิซ เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง เครื่องยนต์กลางลำหน้า ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (FMR) 2 ประตู 2+2/2+0 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอังกฤษ แอสตันมาร์ติน เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2001 เป็นหนึ่งในรุ่นที่มารับช่วงต่อจากวิเรจ (Virage) โฉมแรกของแวนควิซ ได้รับการออกแบบโดย เอียน แคลลุม (Ian Callum) รถได้เปิดเผยสู่สาธารณชนที่งานเจนีวามอเตอร์โชว์ ปี ค.ศ. 2001 และได้ยุติการผลิตในปี 2005 ส่วนแวนควิซ เอส (Vanquish S) ซึ่งมีกำลังเครื่องยนต์และสมรรถนะที่สูงกว่า ได้เปิดตัวในปี ค.ศ. 2004 จนต่อมาในปี ค.ศ. 2007 แวนควิซ เอส ก็ได้ยุติการผลิตทั้งหมด และถูกแทนที่ด้วยรุ่น ดีบีเอส วี12 ในปี ค.ศ. 2012 แวนควิซ ในโฉมที่ 2 ก็ได้เปิดตัวอีกครั้ง หลังจากยุติการผลิตไปนานถึง 5 ปี จึงทำให้ แวนควิซ ในโฉมที่ 2 ถูกสร้างมาเพื่อแทนที่ ดีบีเอส วี12 ด้วย

jumbo jili

แอสตันมาร์ติน แวนควิซ ในโฉมที่ 1 มีชื่อเสียงจากการที่เป็นรถของเจมส์บอนด์ ในภาค ดาย อนัทเธอร์ เด
โฉมที่ 1 แอสตันมาร์ติน วี12 แวนควิซ (Aston Martin V12 Vanquish) ผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001-2005 (เป็นจำนวน 1,492 คัน) ได้รับการออกแบบโดย นักออกแบบรถชาวอังกฤษ เอียน แคลลุม (Ian Callum) รถได้ใช้ชื่อโครงการว่า Project Vantage Concept ด้วยรูปลักษณ์ของรถที่มีขนาดใหญ่กว่า ตัวถังที่ทำมาจากอะลูมิเนียมและคาร์บอน แอสตันมาร์ติน ดีบี7 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 ขนาด 5,935 ซีซี (5.9 ลิตร; 362.2 cu in) มีจำหน่ายทั้งแบบ 2+0 ที่นั่ง (2 ที่นั่ง) และแบบ 2+2 ที่นั่ง (4 ที่นั่ง) แอสตันมาร์ติน วี12 แวนควิซ สามารถให้กำลังสูงสุดถึง 456 PS (335 kW; 450 bhp) และแรงบิดสูงสุด 540 N·m (400 lb·ft) ใช้ระบบเกียร์ธรรมดาอิเล็กโทรไฮดรออิก 6 จังหวะ ( Electrohydraulic manual ) ระบบเบรกแบบ เอบีเอส (ABS)

สล็อต

แอสตันมาร์ติน วี12 แวนควิซ ได้รับการจัดอันดับ ให้อยู่อันดับ 3 รถที่ประกอบภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา (Best Film Cars Ever) ตามหลังเพียง มินิ ในภาพยนตร์ เดอะอิตาเลียนจอบ และ แอสตันมาร์ติน ดีบี5 ซึ่งใช้ประกอบภาค จอมมฤตยู 007 และในภาค ธันเดอร์บอลล์ 007 ของภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์ แอสตันมาร์ติน แวนควิซ เอส (Aston Martin Vanquish S) เปิดตัวครั้งแรกที่งานปารีสออโตโชว์ปี ค.ศ. 2004 มาพร้อมกับกำลังและสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นกว่า แวนควิซ ตัวปกติ สำหรับตัวซีซียังคงเดิมไว้ที่ 5,935 ซีซี เช่นเดิม แต่กำลังเพิ่มขึ้นจาก 456 เป็น 520 แรงม้า (340 to 390 kW) ทำให้แวนควิซ เอส กลายเป็นรถที่เร็วที่สุดเท่าที่ แอสตันมาร์ติน เคยสร้างมา จนกระทั่งวี12 แวนทิจ เข้ามาครองบัลลังค์แทนในเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 2013 รถได้ยุติการผลิตลงในวันที่ 19 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2007 ผลิตมาเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,086 คัน ผู้ที่ชื่นชอบแอสตันมาร์ติน บางคนกล่าวถึง แวนควิซ เอส ที่ยุติการผลิตลงว่า เป็นรถแอสตันมาร์ตินคันสุดท้ายที่มีความเป็นแอสตันมาร์ตินมากที่สุด

สล็อตออนไลน์

โฉมที่ 2 แอสตันมาร์ติน แวนควิซ ได้ชื่อโปรเจ็กต์ว่า “เอเอ็ม310” ( AM310 ) ผลิตมาเพื่อแทน แอสตันมาร์ติน ดีบีเอส วี12 ซึ่งได้ยุติการผลิตไปในปี ค.ศ. 2012 แวนควิซ โฉมที่ 2 มาพร้อมกับ เครื่องยนต์ขนาด 5,935 ซีซี (5.9 ลิตร; 362.2 cu in) V12 มีกำลัง 573 PS (421 kW; 565 bhp) ที่ 6,750 rpm และแรงบิดสูงสุดที่ 620 N·m (460 lb·ft) ที่ 5,500 rpm รถขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า ระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ 6 จังหวะ และจำหน่ายแบบ 2+2 ที่นั่ง (4 ที่นั่ง) เพียงอย่างเดียว[5] ซึ่งต่างกับโฉมก่อนหน้านี้ที่มีให้เลือก 2 แบบ
แอสตันมาร์ตินก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2456 โดย ลีโอเนล มาร์ติน และโรเบิร์ต แบมฟอร์ด (Robert Bamford) โดยก่อนหน้านั้นหนึ่งปี ได้ตั้งบริษัท Bamford & Martin เพื่อจำหน่ายรถยนต์ที่ผลิตโดย ซิงเกอร์ (Singer) ในกรุงลอนดอน โดยนอกจากรถซิงเกอร์แล้ว ยังมีการให้บริการบำรุงรักษารถจีดับเบิลยูเค และรถคัลธอร์ป (Calthorpe) ด้วย

jumboslot

ลีโอเนล มาร์ติน ร่วมลงแข่งรถที่เนินแอสตัน ใกล้กับหมู่บ้านแอสตันคลินตัน และได้ตัดสินใจที่จะสร้างรถยนต์ขึ้นมาเอง รถยนต์คันแรกใช้ชื่อว่าแอสตันมาร์ติน สร้างโดยมาร์ติน โดยประกอบเครื่องยนต์ Coventry-Simplex แบบสี่สูบเข้ากับโครงรถ Isotta-Fraschini รุ่นปี พ.ศ. 2451 ต่อมาพวกเขาตั้งบริษัทขึ้นที่ Henniker Place ในเมืองเคนซิงตัน และผลิตรถยนต์คันแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2458 แต่สายการผลิตรถแอสตันมาร์ตินนั้นไม่ได้เกิดขึ้น เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และทั้งคู่เข้าร่วมรบกับกองทัพของอังกฤษ เครื่องจักรทั้งหมดจึงถูกขายให้กับ Sopwith Aviation นึ่งสงบลง ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นใหม่ที่ Abingdon Road ในเมืองเดิมคือเมืองเคนซิงตัน และได้มีการออกแบบรถขึ้นมาใหม่ในชื่อแอสตันมาร์ตินเหมอนเดิม แบมฟอร์ดถอนตัวจากบริษัทในปี พ.ศ. 2463 และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Count Louis Zborowski ในปี พ.ศ. 2465 ได้เริ่มมีการผลิตรถเพื่อใช้สำหรับแข่งขัน และได้มีการสร้างสถิติต่างๆ ขึ้นด้วยรถดังกล่าวที่สนามบรูกแลนด์ส
ต่อมาในปี พ.ศ. 2467 บริษัทเกิดล้มละลาย และเลดีชาร์นวูด (Lady Charnwood) เข้าซื้อกิจการ แต่ก็ล้มละลายอีกครั้งในปีถัดมา โรงงานของแอสตันมาร์ตินปิดตัวไปในปี พ.ศ. 2469 พร้อมกับการที่ลีโอเนล มาร์ติน ถอนตัวออกจากบริษัท ในปีเดียวกัน บิล เร็นวิค, ออกุสตัส (เบิร์ท) เบอร์เทลลี และนักลงทุนอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งเลดีชาร์นวูดด้วย ได้ร่วมกันเป็นหุ้นส่วนในบริษัท และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นแอสตันมาร์ตินมอเตอร์ส และย้ายบริษัทไปยังที่ตั้งเดิมของ Whitehead Aircraft Limited works ในเมืองเฟลแธม (Feltham) จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2475 บริษัทมีปัญหาทางด้านการเงินอีกครั้ง และได้ L. Prideaux Brune เข้ามาร่วมลงทุน ก่อนที่บริษัทจะเป็นของเซอร์อาเธอร์ ซัทเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2479 มีการผลิตรถแอสตันมาร์ตินประมาณ 700 คัน ก่อนเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สอง และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินโดยแอสตันมาร์ติน

slot

แอสตันมาร์ติน วัน-77

แอสตันมาร์ติน วัน-77 เป็นรถยนต์นั่งสมรรถนะสูง เครื่องยนต์หน้าลำ ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (FR) 2 ประตู 2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอังกฤษ แอสตันมาร์ติน เปิดตัวครั้งแรกที่งานปารีสมอเตอร์ โชว์ ปี ค.ศ. 2008 และเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ ปี ค.ศ. 2009 ก่อนที่จะเริ่มส่งไปยังลูกค้าในปี ค.ศ. 2011 วัน-77 ประกอบด้วยคาร์ไฟเบอร์และอะลูมิเนียม ซึ่งทำด้วยมือทั้งหมด เครื่องยนต์ขนาด 7.3 ลิตร (7312 cc) V12 ให้กำลัง 750 hp (560 kW) ใช้ระบบเกียร์ กึ่งอัตโนมัติ (Automated manual transmission) 6 จังหวะ ซึ่งสามารถให้ความเร็วสูงสุดได้ที่ 200 ไมล์/ชม. (320 กม./ชม.) แต่ในตอนทดสอบ ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2009 สามารถทำได้ที่ 220.007 ไมล์/ชม. (354.067 กม./ชม.) ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำไว้ที่ 3.5 วินาที

jumbo jili

วัน-77 ขณะเป็นคอนเซปต์ มีน้ำหนัก 1,500 กิโลกรัม (3,307 lb) แต่เมื่อผลิตมาจริง กลับมีน้ำหนักเพิ่มไปเป็น 1,630 kg (3,594 lb) รถมีฐานล้อยาว 2,791 มม. (109.9 นิ้ว) ความยาวรอบคัน 4,601 มม. (181.1 นิ้ว) กว้าง 2,204 มม. (86.8 นิ้ว) และสูง 1,222 มม. (48.1 นิ้ว) วัน-77 มีอัตราการปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ 572 กรัม/กม. รถจำกัดจำนวนเพียง 77 คัน ตามชื่อรุ่น “วัน-77” และจำหน่ายในราคาสูงถึง GB£1,150,000 นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล “ออกแบบดีที่สุด” จากนิตยสาร ออโตเอ็กซ์เพลส (Auto Express) ของประเทศอังกฤษ เป็นต้น สหรัฐอเมริกา โดยทั่วไปเรียก สหรัฐ (United States) หรือ อเมริกา (America) เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐ ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ และหนึ่งเขตปกครองกลาง ห้าดินแดนปกครองตนเองสำคัญ และเกาะเล็กต่าง ๆ โดย 48 รัฐและเขตปกครองกลางตั้งอยู่ ณ ทวีปอเมริกาเหนือระหว่างประเทศแคนาดาและเม็กซิโก รัฐอะแลสกาอยู่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ มีเขตแดนติดต่อกับประเทศแคนาดาทางทิศตะวันออกและข้ามช่องแคบเบริงจากประเทศรัสเซียทางทิศตะวันตก และรัฐฮาวายเป็นกลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกกลาง ดินแดนของสหรัฐกระจายอยู่ตามมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลแคริบเบียน ครอบคลุมเขตเวลาเก้าเขต ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศและสัตว์ป่าของประเทศหลากหลายอย่างยิ่ง

สล็อต

สหรัฐมีพื้นที่ขนาด 9.8 ล้านตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 326 ล้านคน ทำให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก เป็นประเทศซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม และเป็นที่พำนักของประชากรเข้าเมืองใหญ่สุดในโลก การมีลักษณะแบบเมืองทะยานเกิน 80% ในปี 2010 และนำสู่มหภาค (megaregion) ที่เติบโตขึ้น เมืองหลวงของประเทศ คือ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และนครใหญ่สุดคือ นครนิวยอร์ก

สล็อตออนไลน์

อินเดียนดึกดำบรรพ์จากยูเรเชียย้ายถิ่นมาแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกาเหนือเมื่อ 15,000 ปีก่อน การยึดเป็นอาณานิคมของยุโรปเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สหรัฐกำเนิดจาก 13 อาณานิคมของบริเตนตามชายฝั่งตะวันออก ข้อพิพาทหลายครั้งระหว่างบริเตนใหญ่และอาณานิคมหลังสงครามเจ็ดปีนำสู่การปฏิวัติอเมริกาซึ่งเริ่มในปี 1775 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 ผู้แทนจาก 13 อาณาเขตลงมติรับคำประกาศอิสรภาพเป็นเอกฉันท์ ขณะที่อาณานิคมกำลังต่อสู้กับบริเตนใหญ่ในสงครามปฏิวัติอเมริกา สงครามยุติในปี 1783 โดยราชอาณาจักรบริเตนใหญ่รับรองเอกราชของสหรัฐ และเป็นสงครามประกาศอิสรภาพต่อจักรวรรดิอาณานิคมยุโรปที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกด้วย มีการลงมติรับรัฐธรรมนูญของประเทศในปี 1788 หลังบทบัญญัติสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) ซึ่งมีการลงมติรับในปี 1781 รู้สึกว่าให้อำนาจแก่สหพันธรัฐไม่เพียงพอ ในปี 1791 มีการให้สัตยาบันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสิบครั้งแรก ซึ่งเรียกรวมว่า รัฐบัญญัติสิทธิ ซึ่งออกแบบมาเพื่อประกันเสรีภาพพลเมืองพื้นฐานหลายข้อ

jumboslot

สหรัฐเริ่มขยายดินแดนอย่างแข็งขันทั่วทวีปอเมริกาเหนือตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขับไล่เผ่าอเมริกันพื้นเมือง ซื้อดินแดนใหม่ และค่อย ๆ รับรัฐใหม่จนขยายทั่วทวีปในปี 1848 ระหว่างครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 สงครามกลางเมืองอเมริกานำให้ยุติความเป็นทาสตามกฎหมายในประเทศ เมื่อถึงสิ้นศตวรรษนั้น สหรัฐขยายเข้ามหาสมุทรแปซิฟิก และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว สงครามสเปน–อเมริกาและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยืนยันสถานภาพมหาอำนาจทางทหารโลกของสหรัฐ สหรัฐกำเนิดจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นอภิมหาอำนาจโลก ประเทศแรกที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังสงครามเย็นสิ้นสุดและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ส่งผลให้สหรัฐกลายเป็นรัฐอภิมหาอำนาจเดี่ยวของโลก สหรัฐเป็นประเทศพัฒนาสูง โดยมีเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกตามจีดีพีราคาตลาด อยู่ในอันดับต้น ๆ ในการวัดสมรรถภาพสังคมเศรษฐกิจหลายรายการ ซึ่งรวมถึงค่าจ้างเฉลี่ย การพัฒนามนุษย์ จีดีพีต่อหัวและผลิตภาพต่อคน ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐถือว่าเป็นหลังอุตสาหกรรม (post-industrial) ซึ่งมีลักษณะที่บริการและเศรษฐกิจความรู้ครอบงำ แต่ภาคการผลิตยังมีขนาดใหญ่สุดอันดับสองของโลก แม้มีประชากรรวมเพียง 4.3% ของโลก แต่สหรัฐคิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของจีดีพีโลก และกว่าหนึ่งในสามของรายจ่ายทางทหารโลก ทำให้เป็นชาติเศรษฐกิจและการทหารแนวหน้า สหรัฐเป็นประเทศการเมืองและวัฒนธรรมโดดเด่น และผู้นำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเทคโนโลยี

slot

แอสตันมาร์ติน ดีบีเอส วี12

แอสตันมาร์ติน ดีบีเอส วี12 เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง เครื่องยนต์หน้าลำ ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (FR) 2 ประตู 2+2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอังกฤษ แอสตันมาร์ติน ในระหว่างปี ค.ศ. 2007 – 2012 ดีบีเอส วี12 พัฒนามาจาก แอสตันมาร์ติน ดีบี9 โดยชื่อ “ดีบีเอส” เป็นชื่อรุ่นที่เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว ในปี ค.ศ. 1967 – 72 แล้วก็ได้ยุติการผลิตลงไม่มีโฉมต่อ จนต่อมาชื่อนี้ถูกได้นำมาใช้อีกครั้ง เพื่อมาแทนที่ แอสตันมาร์ติน แวนควิซ เอส ในปี ค.ศ. 2004 รถได้เปิดตัวครั้งแรกที่งาน Pebble Beach Concours d’Elegance ในวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 2007 มาพร้อมกับสีภายนอกใหม่ล่าสุดของ ค่ายแอสตันมาร์ติน ใช้ชื่อสีว่า “สีเทากราไฟท์” ( Graphite grey ) ผสมเข้ากับโทนสีฟ้า จึงใช้ชื่อสีนี้เป็นนามเฉพาะว่า “คาซิโน ไอซ์” ( Casino Ice ) รถทุกคันจะเริ่มจัดส่งสินค้าในไตรมาสที่ 1 ปี ค.ศ. 2008ตัวถังขอรถได้ถูกผลิตที่โรงงานในเกย์ดอน, วอร์วิคเชียร์ ( Gaydon, Warwickshire ) ส่วนตัวเครื่องยนต์ผลิตที่โรงงานในกรุงโคโลญ เยอรมนี

jumbo jili

ดีบีเอส ได้เคยถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ ภาค คาซิโน โรเยล ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ แดเนี่ยล เคร็ก แสดงเป็น เจมส์ บอนด์ และอีกภาค คือ 007 พยัคฆ์ร้ายทวงแค้นระห่ำโลก ซึ่งทั้ง 2 ภาคใช้แอสตันมาร์ติน ดีบีเอส เป็นพาหนะหลักของตัวเอก
ดีบีเอส โวเลนต์ เป็นโฉมเสริมแต่งของ ดีบีเอส เปิดเผยสู่สาธารณชนครั้งแรกในเฟซบุ๊ก เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2009 และเปิดตัวรถครั้งแรกที่งาน เจนีวา มอเตอร์ โชว์ ในวันที่ 3 มีนาคม ปี ค.ศ. 2009และในรุ่นเปิดประทุน ก็ได้เปิดตัวในเดือนสิงหาคม ปี 2009 ที่งาน Concours d’Elegance มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สำหรับตัวรุ่นเปิดประทุนนี้ สามารถพับเก็บหลังคาได้โดยระบบอัตโนมัติ ซึ่งใช้เวลาเพียง 14 วินาที

สล็อต

ข้อมูลจำเพาะ
-ดีบีเอส โวเลนต์
-เครื่องยนต์ 5.9 ลิตร 48 วาว์ล V12
-เกียร์ ธรรมดา 6 จังหวะ & อัตโนมัติ 6 จังหวะ
-การขับเคลื่อน ขับเคลื่อนล้อหลัง – RWD (Rear Wheel Drive)
-น้ำหนักเปล่า 1,695 กิโลกรัม (3,737 lb)
-อัตราการกินน้ำมันในตัวเมือง 12 ไมล์/แกลลอน(20 L/100 km; 14 mpg-imp)
-อัตราการกินน้ำมันบนไฮเวย์ 18 ไมล์/แกลลอน (13 L/100 km; 22 mpg-imp)
-กำลัง 510 แรงม้า (380 kW; 517 PS) ที่ 6500 rpm
-แรงบิด 420 lb·ft (569 N·m) at 5750 rpm
-ความยาวฐานล้อ 107.9 นิ้ว (2,741 มม.)
-ความยาว 185.9 นิ้ว (4,722 มม.)
-ความกว้าง 75.0 นิ้ว (1,905 มม.)
-ความสูง 50.4 นิ้ว (1,280 มม.)
บริษัท David Brown Limited ที่มีเดวิด บราวน์ เป็นเจ้าของบริษัท เข้าซื้อกิจการแอสตันมาร์ตินในปี พ.ศ. 2490 และในปีเดียวกันบริษัทของบราวน์ก็ได้ซื้อบริษัทรถยนต์ลากอนดา จึงได้นำทั้งสองบริษัทมาควบรวมกิจการกัน ซึ่งชื่อรถแอสตันมาร์ตินที่ใช้อักษร “DB” นี้ก็มีที่มาจากชื่อของบราวน์นั่นเอง

สล็อตออนไลน์

ในปี พ.ศ. 2493 บริษัทได้ออกรถรุ่น ดีบี2 และได้ผลิตรถรุ่นดีบี มาร์คทรีและรถแข่งรุ่น ดีบี3 ในปี พ.ศ. 2500 จากนั้นในปีต่อมาก็ได้ผลิตรุ่น ดีบี4 ต่อจากนั้นก็ได้มีรุ่น ดีบี5 ในปี พ.ศ. 2506, ดีบี6 (พ.ศ. 2508-13) , ดีบีเอส และดีบีเอส วี8 (พ.ศ. 2510-15, ภายหลังจากการขายบริษัทของเดวิด บราวน์ จึงย่อชื่อรุ่นลงเป็นแอสตันมาร์ติน วี8) ในปี พ.ศ. 2515 บริษัทมีปัญหาทางด้านการเงินอีก เดวิด บราวน์จึงขายกิจการแอสตันมาร์ตินออกไป ทำให้ไม่มีรถที่ชื่อรุ่นดีบีใดๆ อีก โดยจะเป็นรถชื่ออื่นแทน และหลังจากนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งฟอร์ดเริ่มเข้าถือหุ้น

jumboslot

ยุคของฟอร์ด ฟอร์ดได้อำนาจควบคุมบริษัทแอสตันมาร์ตินในปี พ.ศ. 2534 และในปี พ.ศ. 2536 ก็มีการนำชื่อดีบีนี้มาใช้อีกครั้ง เป็นรุ่น ดีบี7
ในขณะที่แอสตันมาร์ตินเป็นกิจการของฟอร์ด ฟอร์ดได้นำเอาแอสตันมาร์ตินเข้าไปรวมอยู่ใน Premier Automotive Group ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจของฟอร์ด เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2550 กลุ่มนักลงทุนนำโดยเดวิด ริชาร์ดส์ ผู้บริหารของโปรไดรฟ์ (Prodrive) เข้าซื้อหุ้นในกิจการแอสตันมาร์ติน โดยฟอร์ดจะขายหุ้นของแอสตันมาร์ตินมูลค่า 479 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือ 848 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (มูลค่าหุ้นทั้งหมด 925 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยทางโปรไดรว์ไม่สามารถจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวได้ทั้งหมด และแบ่งกันซื้อหุ้นกับจอห์น ซินเดอร์ส และบริษัทลงทุนสัญชาติคูเวตอีกสองบริษัท คือ Investment Dar และ Adeem Investment Co. ส่วนฟอร์ดจะยังคงถือหุ้นส่วนที่เหลือ มูลค่า 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รถยนต์แอสตันมาร์ตินในวัฒนธรรมสมัยนิยม แอสตันมาร์ติน วี8 จากภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ เรื่องพยัคฆ์ร้ายสะบัดลาย
ขณะที่เอียน เฟลมมิง แต่งนวนิยายเจมส์ บอนด์ เรื่องที่เจ็ด Goldfinger นั้น เขาได้แต่งให้บอนด์ใช้รถแอสตันมาร์ติน ดีบี มาร์คทรี แต่ในภาพยนตร์ จอมมฤตยู 007 (Goldfinger) นั้นได้ใช้รถแอสตันมาร์ติน ดีบี5 แทนที่ดีบี มาร์คทรี ที่เฟลมมิงแต่งไว้ หลังจากนั้นก็ได้มีรถแอสตันมาร์ตินปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ หลายๆ ตอน รวมทั้งตอนพยัคฆ์ร้ายทวงแค้นระห่ำโลก (Quantum of Solace) ซึ่งเป็นตอนล่าสุดในขณะนี้อีกด้วย (ในบางตอนจะไม่มีรถแอสตันมาร์ตินปรากฏ โดยเจมส์ บอนด์ จะขับรถยี่ห้ออื่นแทน ทั้งนี้มักจะขึ้นอยู่กับสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างบริษัทรถยนต์กับผู้ผลิตภาพยนตร์ ว่าจะได้ใช้รถใดในเรื่อง) นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์และสื่ออื่นๆ อีกด้วยเช่นกัน ที่มีรถแอสตันมาร์ตินปรากฏอยู่ เช่น ในภาพยนตร์ตลกเรื่องพยัคฆ์ร้าย ศูนย์ ศูนย์ ก๊าก (Johnny English) ซึ่งมีเนื้อเรื่องล้อเลียนเจมส์ บอนด์ และมีโรวัน แอตคินสัน แสดงเป็นตัวเอกของเรื่องนั้น ตัวเอกในเรื่องใช้รถแอสตันมาร์ติน รุ่นดีบี7 โดยรถคันดังกล่าวนั้น แท้จริงแล้วเป็นรถของแอตคินสันเอง

slot

แอสตันมาร์ติน ดีบี9

แอสตันมาร์ติน ดีบี9 เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง เครื่องยนต์หน้าลำ ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (FR) 2 ประตู 2+2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอังกฤษ แอสตันมาร์ติน รถได้เปิดตัวครั้งแรกที่งานแฟรงค์เฟิร์ตออโตโชว์ ในปี ค.ศ. 2003 มาพร้อมกับ 2 รูปแบบให้เลือก คือแบบคูเป้ และแบบโรสเตอร์เปิดประทุน แอสตันมาร์ติน ดีบี9 ออกแบบมาเพื่อแทนที่ แอสตันมาร์ติน ดีบี7 ดีบี9 ได้ยุติการผลิตลง นับตั้งแต่การผลิตในปี ค.ศ. 2004 จนถึงหยุดสายการผลิตในปี ค.ศ. 2016 โดยรถทุกคันผลิตที่โรงงานแอสตันมาร์ตินเกย์ดอน ( Aston Martin’s Gaydon facility )
ดีบี9 ได้รับการออกแบบโดย มาเรก ไรช์แมน (Marek Reichman) และ เฮนริก ฟิสเกอร์ (Henrik Fisker) ผู้ก่อตั้งบริษัท บริษัทรถยนต์ฟิสเกอร์ ตัวถังส่วนใหญ่ของ ดีบี9 ทำมาจากอะลูมิเนียม จัดเป็นแพลตฟอร์ม VH รุ่นที่ 1 ของแอสตันมาร์ติน เช่นเดียวกับ แอสตัน มาร์ติน ดีบีเอส วี12 สำหรับตัวเครื่องยนต์ มีขนาด 6.0 ลิตร V12 ซึ่งนำมาจาก แอสตันมาร์ติน แวนควิซ โดยเมื่อเร็วๆนี้ แอสตันมาร์ติน ดีบี9 ก็ได้ทำสถิติความเร็วสูงสุดได้ที่ 295 กม./ชม. (183 ไมล์/ชม.) และ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 4.1 วินาที

jumbo jili

ดีบี9 ได้รับคำชมจากหลายแหล่ง อย่างเช่น “คำวิจารณ์จากนักวิจารณ์รถยนต์ ที่ว่า ถึงแม้รถจะมีเครื่องยนต์และระบบแฮนลิง ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบขับขี่ ขับเอาประสบการณ์ และเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการออกแบบภายใน ภายนอกของ ดีบี9 คันนี้” นอกจากนี้ยังมีคำชมจาก ท็อปเกียร์, เว็บไซด์เอ็ดมันส์, ออโต้วีคส์, นิตยสารออโต้โมบิล เป็นต้น

สล็อต

คำว่า “DB” นั้นย่อมาจาก ชื่อและนามสกุลของอดีตเจ้าของ แอสตัน มาร์ติน ชื่อ เดวิด บราวน์ ( David Brown )
ดีบี9 โวเลนเต ( DB9 Volante )
เป็นรูปแบบเปิดประทุนของ ดีบี9 โดยตัวหลังคานั้นทำมาจากผ้าใบ ( Folding fabric ) ใช้เวลาเพียง 17 วินาทีในการเปิดปิด น้ำหนักของตัวถังอยู่ที่ 59 กิโลกรัม (130 ปอนด์) ซึ่งมากกว่า ตัวคูเป้แบบปกติ รถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 266 กม./ชม. (165 ไมล์/ชม.) เท่ากับรุ่นคูเป้ปกติ ถึงแม้รถจะเป็นราคาผ้าใบก็ตาม รถมีแรงบิดสูงสุด 569 N·m (420 lbf·ft) ที่ 5,000 rpm และมีกำลังสูงสุด 456 PS (450 hp) ที่ 6,000 rpm อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 4.9 วินาที ซึ่งช้ากว่ารุ่นคูเป้ เนื่องจากน้ำหนักของตัวถังที่มากกว่า และในเวลาต่อมา โวเลนต์ ก็ได้ปรับกำลังเป็น 517 PS (510 hp) และแรงบิดที่ 620 N·m (457 lbf·ft)

สล็อตออนไลน์

DB9 LM
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในฐานะที่ ทีมแอสตันมารติน จีที1 คว้าชัยชนะในรายการแข่งขันปี ค.ศ. 2007 รายการ 24 เอาเออร์ออฟเลอแมนส์ (2007 24 Hours of Le Mans) จึงเป็นที่มาของคำย่อ “LM” รถมาพร้อมกับออฟชั่น สปอร์ตแพ็กค์ ซึ่ง ดีบี9 แอลเอ็ม เป็นเพียงรุ่นเดียวที่จำหน่ายใน ลักษณะเซมิ-ออโต้ คูเป้ รถทาด้วยสีเงินชาร์ต (Sarthe Silver) คำว่า “ชาร์ต” มาจากสนามชื่อสนามแข่งเดอ ลา ชาร์ต (Circuit de la Sarthe) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ ดีบี9 แอลเอ็ม ได้ใช้วิ่ง แอลเอ็ม จำกัดจำนวนเพียง 124 คันเท่านั้นที่จะผลิตออกมา
DB9 Carbon Black, Morning Frost, and Quantum Silver
เป็นรุ่นพิเศษแบ่งเป็นสีออกเป็น 3 สี ได้แก่ DB9 Carbon Black, Morning Frost และ Quantum Silver ซึ่งทั้ง 3 รุ่นก็ยังคงใช้เครื่องยนต์ 6.0 ลิตร V12 ใช้เกียร์กึ่งอัตโนมัติ 6 จังหวะ เหมือนรุ่นปกติ โดยในแต่ละคันก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะการแต่งภายใน ภายนอก ที่ใช้สีต่างกัน ดีบี9 ทั้ง 3 คันจะจำหน่ายในรูปแบบคูเป้ และ โวเลนต์ แอสตันมาร์ตินก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2456 โดย ลีโอเนล มาร์ติน และโรเบิร์ต แบมฟอร์ด (Robert Bamford) โดยก่อนหน้านั้นหนึ่งปี ได้ตั้งบริษัท Bamford & Martin เพื่อจำหน่ายรถยนต์ที่ผลิตโดย ซิงเกอร์ (Singer) ในกรุงลอนดอน โดยนอกจากรถซิงเกอร์แล้ว ยังมีการให้บริการบำรุงรักษารถจีดับเบิลยูเค และรถคัลธอร์ป (Calthorpe) ด้วย
ลีโอเนล มาร์ติน ร่วมลงแข่งรถที่เนินแอสตัน ใกล้กับหมู่บ้านแอสตันคลินตัน และได้ตัดสินใจที่จะสร้างรถยนต์ขึ้นมาเอง รถยนต์คันแรกใช้ชื่อว่าแอสตันมาร์ติน สร้างโดยมาร์ติน โดยประกอบเครื่องยนต์ Coventry-Simplex แบบสี่สูบเข้ากับโครงรถ Isotta-Fraschini รุ่นปี พ.ศ. 2451 ต่อมาพวกเขาตั้งบริษัทขึ้นที่ Henniker Place ในเมืองเคนซิงตัน และผลิตรถยนต์คันแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2458 แต่สายการผลิตรถแอสตันมาร์ตินนั้นไม่ได้เกิดขึ้น เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และทั้งคู่เข้าร่วมรบกับกองทัพของอังกฤษ เครื่องจักรทั้งหมดจึงถูกขายให้กับ Sopwith Aviation Company

jumboslot

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสงบลง ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นใหม่ที่ Abingdon Road ในเมืองเดิมคือเมืองเคนซิงตัน และได้มีการออกแบบรถขึ้นมาใหม่ในชื่อแอสตันมาร์ตินเหมือนเดิม แบมฟอร์ดถอนตัวจากบริษัทในปี พ.ศ. 2463 และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Count Louis Zborowski ในปี พ.ศ. 2465 ได้เริ่มมีการผลิตรถเพื่อใช้สำหรับแข่งขัน และได้มีการสร้างสถิติต่างๆ ขึ้นด้วยรถดังกล่าวที่สนามบรูกแลนด์ส
ต่อมาในปี พ.ศ. 2467 บริษัทเกิดล้มละลาย และเลดีชาร์นวูด (Lady Charnwood) เข้าซื้อกิจการ แต่ก็ล้มละลายอีกครั้งในปีถัดมา โรงงานของแอสตันมาร์ตินปิดตัวไปในปี พ.ศ. 2469 พร้อมกับการที่ลีโอเนล มาร์ติน ถอนตัวออกจากบริษัท ในปีเดียวกัน บิล เร็นวิค, ออกุสตัส (เบิร์ท) เบอร์เทลลี และนักลงทุนอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งเลดีชาร์นวูดด้วย ได้ร่วมกันเป็นหุ้นส่วนในบริษัท และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นแอสตันมาร์ตินมอเตอร์ส และย้ายบริษัทไปยังที่ตั้งเดิมของ Whitehead Aircraft Limited works ในเมืองเฟลแธม (Feltham)จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2475 บริษัทมีปัญหาทางด้านการเงินอีกครั้ง และได้ L. Prideaux Brune เข้ามาร่วมลงทุน ก่อนที่บริษัทจะเป็นของเซอร์อาเธอร์ ซัทเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2479
มีการผลิตรถแอสตันมาร์ตินประมาณ 700 คัน ก่อนเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สอง และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินโดยแอสตันมาร์ติน

slot