เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส(Mercedes-Benz C-Class) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราระดับต้น ที่ผลิตโดยบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเริ่มผลิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 และยังมีรุ่นประกอบในประเทศไทยด้วย โดยประกอบที่โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย
โฉมนี้ตัวถังมีให้เลือก คือ4ประตูและ5ประตู ระบบเกียร์มีคือ 5 สปีดธรรมดา,4สปีดและ5สปีดอัตโนมัติ เครื่องยนต์มีตามรุ่น ดังตารางด้านล่าง ในปีพ.ศ. 2540 ได้มีการปรับโฉมเช่น เปลี่ยนกันชนหน้า-หลังเป็นต้น ส่วนด้านความปลอดภัยได้มี การใส่ระบบป้องกันล้อล็อก และ ถุงลมนิรภัยด้านผู้ขับขี่และผู้โดยสาร (เฉพาะรุ่นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2538)และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เป็นอุปกรณ์เสริมต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่ผลการทดสอบการชนได้แค่ 2 ดาว โฉมนี้ มีตัวถังให้เลือก คือ 2 ประตู,4 ประตูและ 5 ประตู ระบบเกียร์มีให้เลือกคือ 5 สปีดธรรมดา,6 สปีด และ 7 สปีด อัตโนมัติ โฉมนี้ผลิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543-2549 โดยในปีพ.ศ. 2547 ได้ทำการปรับโฉมหรือ Facelift เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสโฉมนี้ทำยอดขายได้กว่าสองล้านคัน โดยสรุปยอดเมื่อปีพ.ศ. 2549

jumbo jili

โฉมนี้ตัวถังมีให้เลือก คือ 2ประตู,4 ประตูและ 5 ประตู โฉมนี้ระบบเกียร์มีให้เลือก คือ 6 สปีดธรรมดา,5 สปีดและ7สปีด อัตโนมัติ ในปีพ.ศ. 2555 ยังติดอันดับ 1ใน10รถยนต์ขายดีในอังกฤษอีกด้วย โดยเป็นรุ่นแรกของ เมอร์เซเดส-เบนซ์อีกด้วย ในปีพ.ศ. 2554 ได้ทำการFaceliftหรือปรับโฉม
โฉมนี้ตัวถังมีให้เลือก คือ 2ประตู,4 ประตูและ5 ประตู โฉมนี้ระบบเกียร์มีให้เลือก คือ 7สปีดและ9สปีด อัตโนมัติ ในปีพ.ศ. 2559 เปิดตัว Mercedes Benz C-Class Coupe 2017​ ​สปอร์ตคูเป้ เข้าประกอบไทย ราคาใหม่ใน Motor Expo 2016​ แย้ม Mercedes Benz C-Class Coupe 2017 เพิ่มเติมมีรุ่นย่อยสุดแรง Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé และ Mercedes-Benz C 300 Cabriolet 2017 ขณะที่ The C 350 e นับเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ในตระกูล The new C-Class ที่ใช้เทคโนโลยีไฮบริด ต่อจากรุ่น C 300 BlueTEC Hybrid และยังเป็นรถยนต์รุ่นที่สองของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ใช้เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดอีกด้วย โดยรถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับตัวถังที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้า โดยมีให้เลือกสรรทั้งในแบบซีดานและเอสเตท ซึ่งทั้งสองดีไซน์ได้รับการติดตั้งนวัตกรรมปลั๊กอินไฮบริด ที่โดดเด่นในเรื่องความประหยัดด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลา 3 ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 31 กิโลเมตร

สล็อต

ใช้เครื่องยี่ห้อ อิลมอร์ (Ilmor Engineering) ขนาด 6.0L ถึง 6.9L ซึ่งสามารถให้กำลังได้ถึง 612 PS (450 kW; 604 hp) และแรงบิดที่ 775 N·m (572 lb·ft) ทางค่าย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อ้างว่ารถสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 km/h (62 mph) ได้ในเวลา 3.8 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 344 km/h (214 mph) เยอรมนีเป็นประเทศที่อยู่ตรงยุโรปกลางทำให้เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางของทวีปยุโรปมีพรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ และยังมีพรมแดนติดกับทะเลสาบโบเดินที่เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ3ในทวีปยุโรป
ประเทศเยอรมนีมีขนาด357,021 ตารางกิโลเมตรโดยแบ่งเป็นพื้นดิน349,223 ตารางกิโลเมตรและพื้นน้ำ7,798 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ในทวีปยุโรปและใหญ่เป็นอันดับ 62 ของโลกและด้วยพรมแดนมีความยาวทั้งหมดรวม 3,757 กิโลเมตรมีประเทศเพื่อนบ้านถึง 9 ประเทศ ทำให้เยอรมนีเป็นประเทศที่มีประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุดในทวีปยุโรป เยอรมนีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันไปจากทางตอนเหนือถึงทางตอนใต้ โดยมีทั้งที่ราบทางตอนเหนือและเทือกเขาทางตอนใต้ เยอรมนียังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แร่เหล็ก, ถ่านหิน, โพแทช, ไม้, ลิกไนต์, ยูเรเนียม, ทองแดง, ก๊าซธรรมชาติ, เกลือ, นิกเกิล, พื้นที่เพาะปลูกและน้ำ

สล็อตออนไลน์

ประเทศเยอรมนีไม่มีฤดูแล้งและฤดูหนาวจะมีอากาศที่เย็นถึงหนาวจัดและฤดูร้อนจะมีความอบอุ่นโดยอุณหภูมิจะไม่เกิน 30 ° C ในปี 2008 อาณาเขตของประเทศเยอรมนีสามารถแบ่งสภาพพื้นดินได้โดยแบ่งเป็นพื้นที่ทำกิน (34%) ป่าไม้ (30.1%) ทุ่งหญ้าถาวร 11.8%พืชและสัตว์ในเยอรมนีส่วนใหญ่เป็นพืชและสัตว์ในยุโรปกลางโดยต้นไม้ส่วนใหญ่ก็จะเป็น เบิร์ช, โอ๊กและต้นไม้ผลัดใบอื่น ๆ ที่พบตามพื้นก็จะเป็น มอสส์, เฟิร์น, คอร์นฟลาวเวอร์, เห็ดรา สัตว์ป่าก็จะเป็น กวาง, หมูป่า, แพะภูเขา, หมาจิ้งจอกแดง, แบดเจอร์ยุโรป,กระต่ายป่าและอาจมีบีเวอร์บริเวณชายแดนประเทศโปแลนด์ด้วย ซึ่งคอร์นฟลาวเวอร์สีฟ้าเคยเป็นดอกไม้ประจำชาติด้วย การรวมประเทศในปี 1990 นั้น เสมือนเป็นการผนวกประเทศเยอรมนีตะวันออกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีตะวันตก ดังนั้นระบบระเบียบการปกครองทั้งหมดในประเทศเยอรมนีใหม่นี้ จึงยึดเอาระบบระเบียบเดิมของเยอรมนีตะวันตกมาทั้งหมด กฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีเรียกว่า กรุนด์เกเซ็ทท์ (Grundgesetz) หรือแปลอย่างตรงตัวได้ว่า “กฎหมายพื้นฐาน” ถูกบัญญัติขึ้นในปี 1949 เพื่อใช้เป็นรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีตะวันตก การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จำเป็นต้องได้รับเสียงอย่างน้อยสองในสามจากที่ประชุมร่วมสองสภาและ อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน, การแยกใช้อำนาจ, โครงสร้างสหพันธ์ และสิทธิในการต่อต้านความพยายามล้มล้างมิอาจถูกแก้ไขได้

jumboslot

รัฐสมาชิกตามรัฐธรรมนูญ ประเทศเยอรมนีประกอบด้วยสิบหก รัฐ ในจำนวนนี้ เบอร์ลินและฮัมบวร์ค มีสถานะเป็นนครรัฐ ในขณะที่ เบรเมิน เป็นรัฐที่ประกอบด้วยสองนครรัฐคือเบรเมินและเบรเมอร์ฮาเฟิน ในขณะที่อีกสิบสามรัฐที่เหลือ มีสถานะเป็นรัฐเฉพาะถิ่น ทุกรัฐมีรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของตนเอง สามารถตรากฎหมายและจัดเก็บภาษีเองตามกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์ฯ

slot

บีเอ็มดับเบิลยู แซด4

บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 หรือบางครั้งเรียกว่า บีเอ็มดับเบิลยู ซี4 เป็นรถยนต์นั่งประเภทสมรรถนะสูง เครื่องยนตร์หน้าลำ ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (FMR) 2 ประตู 2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมัน บีเอ็มดับเบิลยู เป็นรุ่นต่อจาก บีเอ็มดับเบิลยู แซด1, บีเอ็มดับเบิลยู 507, บีเอ็มดับเบิลยู แซด8 และ บีเอ็มดับเบิลยู แซด3 สำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 เป็นรถที่ผลิตเพื่อมาแทนรุ่น แซด3 ซึ่งได้ยกเลิกการผลิตไปในปี ค.ศ. 2002 โฉมแรกสุดของ แซด4 ได้เริ่มแผนการผลิตขึ้น ในปี ค.ศ. 2002 ที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยูใน รัฐเซาท์แคโรไลนา, สหรัฐอเมริกา ซึ่งออกมาเป็น สไตล์คูเป้ และสไตล์โรสเตอร์ เมื่อได้รับการเปิดตัวออกมา บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 ก็ได้ชนะรางวัล “รางวัลการออกแบบแห่งปี” ( Design of the Year Award ) จากนิตยสารออโตโมบิล ต่อมาในปี ค.ศ. 2009 บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 ก็ได้เปิดตัวโฉมที่ 2 ในสไตล์โรสเตอร์แบบเปิดประทุนหลังคาแข็ง ซึ่งได้มีการวางแผนขึ้น ที่เมืองเรเกนส์บูร์ก ( Regensburg ) ประเทศเยอรมนี เมื่อเปิดตัวออกมา บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 ก็ได้รับรางวัลเรดด็อด ดีไซน์

jumbo jili

โฉมที่ 1 (E85/E86)
บีเอ็มดับเบิลยูแซด 4 ในโฉมที่ 1 ได้แบ่งสไตล์รถออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ “E85” ซึ่งได้รับการออกแบบขึ้นในรูปแบบรถโรสเตอร์ และ “E86” ในรูปแบบรถคูเป้ รถได้รับการออกแบบโดย นักออกแบบรถบีเอ็มดับยูชาวเดนมาร์ก แอนเดอรส์ วอร์มมิ่ง ( Anders Warming )
ในปี ค.ศ. 2004 บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 ก็ได้เปิดจำหน่าย ในรุ่นเสริมอื่นๆ ได้แก่ 3.0i (เครื่องขนาด 3.0 ลิตร I6 กับ 231 hp), 3.0si (เครื่องขนาด 3.0 ลิตร I6 กับ 265 hp), 2.5si (เครื่องขนาด 2.5 ลิตร I6 กับ 218 bhp), 2.2i (เครื่องขนาด 2.2 ลิตร I6 กับ 170 bhp) และ 2.0i (เครื่องขนาด 2.0 ลิตร I6 กับ 150 bhp) บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 ในสไตล์คูเป้ ได้เปิดจำหน่ายเพียงแค่รุ่นเดียวคือ 3.0si ซึ่ง มีขนาดเครื่อง 3.0 ลิตร 255 hp I6 โดยทุกรุ่นทั้ง E85 โรสเตอร์ และ E86 คูเป้ ได้ผลิตที่ เกรียร์ แพลนท์ ( Greer plant )
โฉมที่ 2 (E89; พ.ศ. 2551 – พ.ศ. 2559)

สล็อต

BMW Z4 II sDrive35is พร้อมกับ ชุดแต่ง M (M Sport package)
โฉมที่ 2 ได้ประกาศสู่สาธารณะในวันที่ 13 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2008 และได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน นอร์ท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต้ โชว์ ปี ค.ศ. 2009 ที่เมืองดีทรอยต์ มาพร้อมกับรูปแบบโรสเตอร์หลังคาแข็งเต็มตัว คล้ายกับ เมอร์เซเดส เอสแอลเค หลังจากโฉมก่อนหน้านี้จำหน่ายทั้ง สไตล์โรสเตอร์ และสไตล์คูเป้ บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 ได้ใช้รหัสใหม่ว่า “E89” ทั้งหมดผลิตที่เมืองเรเกนส์บูร์ก ( Regensburg ) เช่นเดียวกับ บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ คาบริโอ “E93”

สล็อตออนไลน์

โฉมที่ 3 (G29 พ.ศ. 2561–ปัจจุบัน) รถต้นแบบของบีเอ็มดับเบิลยู แซด4 ได้เผยโฉมเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560 ที่งาน Pebble Beach Concourse รถต้นแบบนั้นได้เป็นตัวอย่างของโฉมผลิตจริงและหลังคานั้นได้ใช้โครงสร้างผ้าแทนการใช้หลังคาแข็งพับเก็บเองได้แบบรุ่นที่แล้ว
แพลตฟอร์มของแซด4 จะได้ใช้ร่วมกับโตโยต้า ซูปรา รุ่นใหม่ด้วย
บีเอ็มดับเบิลยู ซากาโต้ คูเป้
บีเอ็มดับเบิลยู ซากาโต้ ( BMW Zagato ) เป็นโฉมรถคอนเซปต์ ผลิตโดยบริษัทออกแบบรถสัญชาติอิตาลี ซากาโต้ ได้มีการออกแบบเป็น 2 สไตล์ คือ แบบโรสเตอร์ ซึ่งเปิดตัวที่งาน Pebble Beach Concours d’Elegance ในวันที่ 19 สิงหาคม ปี ค.ศ. 2012 และแบบคูเป้ ที่งาน Concorso d’Eleganza Villa d’Este ในวันที่ 25 พฤๅภาคม ปี 2012

jumboslot

สำหรับประเทศไทยมีการทำตลาดดังนี้
มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ Impact Challenger เมืองทองธานี ในวันที่ 27 มีนาคม โดยเป็นรุ่นนำเข้าทั้งคัน มาจากโรงงาน Magna Steyr ประเทศออสเตรีย มี 2 รุ่นย่อยด้วยกันคือ Z4 30i M Sport เครื่องยนต์ 2.0 L B48B20 turbocharged I4 และ Z4 M40i เครื่องยนต์ 3.0 L B58B30 turbocharged I6.

slot

บีเอ็มดับเบิลยู 7 ซีรีส์

บีเอ็มดับเบิลยู 7 ซีรีส์ (BMW 7 Series) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราขนาดใหญ่ (Full-size luxury vehicles) เป็น รถธง (รถรุ่นที่ได้ชื่อว่าดีที่สุด โด่งดังที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุดของรถยนต์แต่ละยี่ห้อ)ของบริษัทรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู เริ่มผลิตครั้งแรกใน พ.ศ. 2520 จนถึงปัจจุบัน มีวิวัฒนาการตามช่วงเวลาแบ่งได้ 6 รุ่น (Generation) ดังนี้
รุ่นที่ 1 (E23, พ.ศ. 2520 – 2529)
บีเอ็มดับเบิลยู 7 ซีรีส์ รุ่นที่1
รุ่นแรก หรือ E23 ทุกคัน ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาดระหว่าง 2500 – 3500 ซีซี แต่รุ่นที่ขายกับลูกค้าทั่วไปนั้นเป็นขนาด 2800 ซีซีขึ้นไป ส่วนรุ่นที่ใช้เครื่อง 2500 ซีซี จะขายกับรัฐบาลหรือออร์เดอร์กรณีพิเศษอื่นๆ เท่านั้น 23 มีเอกลักษณ์เด่นในเรื่องความล้ำยุค ล้ำสมัยมากแม้เมื่อเทียบกับรถระดับหรูอีกหลายยี่ห้อ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เด่นของ 7 ซีรีส์มาจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างความทันสมัยของ E23 ที่บีเอ็มดับเบิลยูนำมาใช้ เมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น คือเช่น เครื่องยนต์แบบหัวฉีด, ระบบเบรกแบบ ABS, ถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับ, ระบบกระจกไฟฟ้า และเกียร์อัตโนมัติแบบ 4 สปีด เป็นต้น (ซึ่งแทบทั้งหมดมีในรถทั่วไปในปัจจุบัน แต่แทบจะหาไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียวในรถที่ขายเมื่อ 30 ปีก่อน) นอกจากนี้ ยังมีระบบ Power seat เก้าอี้ไฟฟ้า ปรับเบาะโดยใช้ระบบไฟฟ้า รวมทั้งระบบทำความร้อนในเบาะนั่ง ซึ่งยังหาไม่ได้แม้แต่ในรถยุคปัจจุบัน
บีเอ็มดับเบิลยูในตลาดส่วนใหญ่ ได้ผลิตรถรุ่น E32 มีเป็นซีรีส์ 7 แทน E23 ในปี พ.ศ. 2529 แต่ E23 ยังผลิตในทวีปอเมริกาเหนือและในประเทศญี่ปุ่นต่อไปอีกบ้างจำนวนหนึ่ง ก่อนจะเลิกผลิตไปในปี พ.ศ. 2530 รวมยอดการผลิตทั้งสิ้น 285,029 คัน

jumbo jili

รุ่นที่ 2 (E32, พ.ศ. 2529 – 2537)
บีเอ็มดับเบิลยู 7 ซีรีส์ รุ่นที่ 2
E32 มีการติดตั้งเทคโนโลยีรถใหม่ล่าสุดของยุคนั้นลงไปในรถอีกจำนวนหนึ่ง เช่น เครื่องโทรศัพท์ เครื่องแฟกซ์ ตู้แช่ไวน์ ถูกติดตั้งลงไปในรถ และยังมีการใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด (ซึ่งรถที่ขายในยุคปัจจุบันกว่าครึ่งหนึ่งยังเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ 4 สปีดอยู่) ระบบจำกัดความเร็วอิเล็คโทรนิคส์ และเทคโนโลยีล้ำยุคอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนเครื่องยนต์ของ E32 เริ่มต้นตั้งแต่เครื่องยนต์ขนาด 3000 ซีซี 6สูบ 12วาล์ว 188แรงม้า ไปจนถึงเครื่องยนต์ 5000ซีซี 12 สูบ 24 วาล์ว 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ยอดการผลิตรวมทั้งสิ้น 311,068 คัน
รุ่นที่ 3 (E38, พ.ศ. 2537 – 2544)
บีเอ็มดับเบิลยู 7 ซีรีส์ รุ่นที่ 3
ในภาพยนตร์ดังถึง 3 เรื่องของยุคนั้น มีการนำ E38 ไปใช้แสดงหลายฉากพอสมควร คือ เจมส์ บอนด์ 007 พยัคฆ์ร้ายไม่มีวันตาย (นำแสดงโดย เพียร์ซ บรอสแนน),The Game เกมตาย…ต้องไม่ตาย (นำแสดงโดย ไมเคิล ดักลาส) และ The Transporter ขนระห่ำไปบี้นรก (นำแสดงโดย เจสัน สเตธัม) และยังได้สร้างความน่าสนใจขึ้นไปอีก ด้วยการที่ E38 รุ่น 750iL ในอเมริกาเหนือ ใช้เครื่องยนต์ขนาด 5400 ซีซี 12 สูบ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ประเภทเดียวกับที่ใช้ในรถยนต์ระดับมหาเจ้าสัว คือ โรลส์-รอยซ์ ซิลเวอร์ เซราฟ (Rolls-Royce Silver Seraph)

สล็อต

E38 อัปเดตเทคโยโลยีใหม่ล่าสุดเข้าไปอีกเช่นเคย ในคราวนี้คือ ไฟหน้าแบบ HID ซึงเป็นหลอดไม่มีไส้ มีหลักการทำงานคล้ายคลึงกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ แต่อาศัยแก๊สซีนอน, ปรอท และเมทัลฮาไลด์ให้เรืองแสงขึ้น โดยจะสว่างกว่าหลอดไฟหน้าแบบฮาโลเจนทั่วไป และสีของแสงใกล้เคียงกับแสงดวงอาทิตย์มากกว่า ทำให้แยกแยะวัตถุได้ดีกว่า อีกทั้งไม่แยงตาผู้ขับขี่ที่แล่นสวนทางมาด้วย และสามารถมองได้ไกลขึ้น 30 – 40% (ซึ่งรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่เพิ่งเปลี่ยนมาใช้หลอด HID แทนหลอดฮาโลเจนเมื่อไม่ถึง 5 ปีที่ผ่านมา) นอกจากนี้ E38 ยังมีระบบNavigation System (ระบบแผนที่และนำทางโดยใช้การสื่อสารแบบ GPS กับดาวเทียม), ระบบเครื่องเสียงในรถแบบ Surround ด้วยลำโพง 14 ตัวรอบคัน พร้อมซับวูเฟอร์อีก 4 ตัว เพิ่มความหนักแน่นของเสียง, เครื่องเล่น CD เก็บแผ่นในเครื่องได้ 6 Disc, รวมทั้งหลังคาแบบมีมูนรูฟ (มีรูบนหลังคา มีกระจกเปิด-ปิดรูนั้นได้ เอาไว้เวลานอนดูท้องฟ้าในรถยามค่ำคืน ดูเสร็จก็ปิดกระจก) ในปี พ.ศ. 2544 เมื่อขาย E38 มานานแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู ก็ได้ปล่อยข้อมูลของรถซีรีส์ 7 รุ่นต่อไปออกสู่สังคม โดยตั้งชื่อว่า E65 ปรากฏว่าหลังการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ยอดขาย E38 สูงขึ้นอย่างน่าประหลาด จากการสำรวจความคิดเห็นก็พบว่า เหล่าเศรษฐีที่รอซื้อซีรีส์ 7 รุ่นต่อไปต่างผิดหวังกับ E65 และไม่ชอบซีรีส์ 7 รุ่นต่อไปนัก จึงแห่มาซื้อ E38 ก่อนที่มันจะถูกแทนที่โดย E65 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จนทำให้ บีเอ็มดับเบิลยูผลิตรถไม่ทัน ต้องขึ้นราคาเพื่อลดยอดขายรวมระยะเวลาตลอด 7 ปีที่ผลิต E38 ทำยอดขายได้ทั้งสิ้น 340,242 คัน

สล็อตออนไลน์

รุ่นที่ 4 (E65, พ.ศ. 2544 – 2551) บีเอ็มดับเบิลยู 7 ซีรีส์ รุ่นที่ 4 นวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ถูกติดตั้งลงใน E65 คือระบบ iDrive ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากระบบ Navigation โดย iDrive เป็นคล้ายๆ กับระบบคอมพิวเตอร์ของเครื่องยนต์ แสดงผลโดยจอมอนิเตอร์ความละเอียดสูง สามารถใช้ปุ่มควบคุมที่อยู่ใกล้คันเกียร์ปรับแต่งค่าต่างๆ ภายในรถได้ ตั้งแต่การปรับแต่งระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ ระบบดีวีดี ระบบโทรศัพท์ ไปจนถึงระบบการตอบสนองของช่วงล่าง ปรับระบบการทรงตัว ปรับโหมดการขับขี่ ฯลฯ นอกจากเป็นตัวรับคำสั่งจากผู้ขับขี่แล้ว ยังสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ อีกทั้งเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุหรือขัดข้องจนไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ ระบบ iDrive จะส่งสัญญาณแจ้งอุบัติเหตุไปยัง BMW CallCenter โดยอัตโนมัติ พร้อมบอกพิกัดที่เกิดเหตุ หรือเมื่อมีอุปกรณ์ใดๆ ชำรุดเล็กน้อย ก็จะบันทึกข้อมูลไว้ เมื่อเจ้าของนำรถเข้าศูนย์บริการ เจ้าหน้าที่ศูนย์จะนำระบบคอมพิวเตอร์ของศูนย์มาเชื่อมกับระบบ iDrive แล้วระบบ iDrive จะรายงานในทันทีว่ามีความผิดปกติใดที่เกิดขึ้นกับรถ ตั้งแต่การชำรุดของอะไหล่ที่ซับซ้อนไปจนถึงเรื่องยางแบน ทำให้สามารถหาต้นเหตุและซ่อมได้ทันที

jumboslot

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นของการผลิต E65 ผู้ใช้รถไม่คุ้นชินกับการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนของ iDrive และตัวระบบไอไดรฟ์เองก็มีปัญหารวนอยู่บ่อยๆ เพราะเป็นนวัตกรรมที่เพิ่งถูกคิดค้นขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของซีรีส์ 7 ในช่วงนี้ตกต่ำลงไปมาก จนบีเอ็มดับเบิลยู ต้องไปปรับปรุงระบบ iDrive ครั้งใหญ่ จนกระทั่งเมื่อระบบเข้าที่เข้าทางแล้ว บีเอ็มดับเบิลยูก็เริ่มการประชาสัมพันธ์หาลูกค้าอีกครั้ง รวมทั้งปรับโฉมของรถเล็กน้อยให้เข้ากับยุคสมัย โดยใช้พื้นฐานของตัวถังแบบเดิม และด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ยอดเยี่ยม ชื่อเสียงของซีรีส์ 7 จึงเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง จนสามารถขายได้อย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลัง และทำยอดขายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ 7 ซีรีส์ F01 เปิดตัวครั้งแรกที่จตุรัสแดง กลางกรุงมอสโก ราคาในประเทศไทยระหว่าง 7.6 – 15.7 ล้านบาท รุ่นนี้BMW 7 ซีรีส์ได้เปลี่ยนช่วงล่างจากแมคเฟอร์สันสตรัท ไปเป็นดับเบิ้ลวิชโบน เฉพาะด้านหน้า เพื่อการขับขี่ที่ดีขึ้น เครื่องยนต์มีให้เลือกคือ 3.0,4.4V8,5.0 V12 มีเกียร์คือเกียร์ออโต้6สปีดและ8สปีด เฉพาะ760liและActive hybrid7 ส่วนโมเดลที่เหลือจะใช้ตั้งแต่ปี2013 โดยได้มีการminor change เมื่อปี2012

slot

บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์

บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราขนาดกลาง ที่บีเอ็มดับเบิลยูเริ่มผลิตตั้งแต่ พ.ศ. 2515 ต่อจากบีเอ็มดับเบิลยูนิวคลาส ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 โฉม
รุ่นที่ 1 (E12 พ.ศ. 2515-พ.ศ. 2524)
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ รุ่นที่ 1
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ E12 นับเป็นจุดเริ่มต้นของ บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ โดยมันได้รับช่วงต่อมาจาก BMW 2000 ดีไซน์ภายนอกถูกออกแบบโดย Paul Bracq นักออกแบบชื่อดังชาวฝรั่งเศส จุดเด่นของ E12 คือความปลอดภัยของห้องโดยสารโดยมีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการออกแบบเพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้น โฉมนี้เป็นโฉมที่สร้างความสำเร็จทางด้านยอดขายอย่างถล่มทลายให้กับ BMW เลยทีเดียว

jumbo jili

รุ่นที่ 2 (E28 พ.ศ. 2524-พ.ศ. 2531)
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ รุ่นที่ 2
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ E28 จำหน่ายในปี พ.ศ. 2524 จนถึงปี พ.ศ. 2531 เส้นสายบนตัวถังของโฉม E28 ยังคงเหมือนกับตัว E12 ไว้ แต่จะขยายกระจังหน้าและเปลี่ยนโคมไฟหน้าเล็กน้อยให้ดูทันสมัยขึ้น ช่วงล่างถูกพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด เริ่มมีการใส่ระบบเบรก ABS, Computer On-Board, และหัวฉีดแบบอิเล็กทรอนิคเข้ามาในโฉมนี้ แถมยังมีการปล่อยรุ่นสมรรถนะสูงอย่าง M5 ออกมาเป็นครั้งแรกด้วย
รุ่นที่ 3 (E34 พ.ศ. 2531-พ.ศ. 2539)
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ รุ่นที่ 3
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ E34 รุ่นนี้จำหน่ายในไทยเมื่อปี 2532 โดยมันเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย ไม่แพ้กับ 3 Series E30 และคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz W124 E Class ในขณะนั้น โดยรุ่นย่อยที่ขายที่สุดคือ 525i เพราะเป็นรถที่แรงและทรงพลัง ด้วยเครื่องยนต์ M20 6 สูบ 2.5 ลิตร ต่อมาได้เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่เป็น M50 และ M50U 6 สูบ 2.5 ลิตร รุ่นนี้ได้ขายเรื่อยๆ ไปจนถึงปลายปี 2539 แล้วลากขายรถในสต๊อกจนถึงปี 2540 โฉมนี้จัดเต็มเรื่องระบบความปลอดภัยมาก มีการใส่ถุงลมนิรภัย, เบรก ABS, และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ASC มาให้ด้วย

สล็อต

รุ่นนี้ยังมีรุ่นพิเศษในประเทศไทยโดยเฉพาะคือ 520iS โดยได้มีการปรับจูนเครื่องใหม่ให้แรงขึ้น และเป็นรุ่นที่มีการปรับแต่งเครื่องยนต์โดยยนตรกิจจากโรงงานโดยตรง
รุ่นที่ 4 (E39 พ.ศ. 2539-พ.ศ. 2547)
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ รุ่นที่ 4
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ E39 เป็นรุ่นที่ต่อจาก E34 โดยจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อปี 2540 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับปีที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อ กรกฎาคม 2540 พอดี รุ่นนี้ที่ขายในไทยมีอยู่ 4 รุ่นด้วยกันคือ 520i 523i 523iA และ 528i คู่แข่งของมันก็คือ Mercedes Benz E Class W210 และ Volvo 960 รุ่นตาเล็ก (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น S90 และจำหน่ายแทนที่โดย S80 ซึ่งเป็นรถขับล้อหน้าในปี 2542) รุ่นนี้ได้มีการใส่ของไฮเทคในยุคนั้นอย่างเต็มรูปแบบ เช่น พวงมาลัย Multi-Function, ระบบนำทางดาวเทียม(สเปกไทยไม่มีระบบนี้), เบาะ Active Seat, และ DSC รุ่นย่อยที่ขายดีที่สุดคือ 523i และ 523iA โดยใช้เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 6 สูบ 170 แรงม้า รหัส M52 และ M52TU รุ่นนี้เป็นรุ่นที่จำหน่าย 2 สมัยในไทยคือ ยุคแรกขายโดยยนตรกิจ และหลังจากนั้นก็เป็นยุคบริษัทแม่มาขายเองเมื่อปี 2541 ต่อมาได้มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมในประเทศไทยเมื่อปี 2544 โดยยกเลิกจำหน่าย 520i และ 528i ทิ้งไป และได้เปลี่ยนรุ่นย่อยจาก 528i เป็น 530i ในปี 2546 E39 รุ่นปรับโฉมหรือ LCI ในประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่เป็นรหัส M52TUB24 2.4 ลิตร 6 สูบ 184 แรงม้า ในรุ่น 523i และ 523iA และเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 6 สูบ 230 แรงม้า รหัส M54B30 ในรุ่น 530i โดยรุ่นย่อยของตัวปรับโฉมหรือตัว LCI ที่ขายในประเทศไทยมีดังนี้

สล็อตออนไลน์

บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ รุ่นที่ 5 รุ่นปรับโฉม
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ E60 เปิดตัวในเมืองไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 โดยช่วงแรกจะจำหน่ายรุ่น 525i และ 530i เป็นรุ่นนำเข้า ต่อมาได้มีการเปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศในช่วงปลายปีเดียวกันและได้เพิ่มอีก 2 รุ่นเป็น 4 รุ่นคือ 520i 525i 525i-SE และ 530i ในปี พ.ศ. 2549 รุ่นนี้ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่โดยเพิ่มรุ่นเครื่องดีเซล 2.0 ลิตรเป็นทางเลือกใหม่ในรุ่น 520d ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2549 ก่อนจะมีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมหรือ LCI ในปี พ.ศ. 2550 หรือ 1 ปีถัดมา หลังจากนั้นในปลายปี พ.ศ. 2552 ได้เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ให้กับรุ่นขายดีอย่าง 520d คือ 520d Corporate โดยปรับราคาให้ดูน่าจับต้องได้ในราคา 2.999 ล้านบาท ก่อนที่จะถูกแทนที่โดย รุ่นที่ 6 หรือ F10 รุ่นนี้มีการใส่ระบบ iDrive เป็นอุปกรณ์มาตรฐานและระบบที่ไฮเทคขึ้นจากรุ่นก่อน เช่น Adaptive Cruise Control, เซนเซอร์ถอยจอด, Head-Up Display และมันยังเป็น 5-Series รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่คอนโซลกลางไม่เอียงเข้าหาคนขับด้วย
รุ่นที่ 6 (F10 พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2560)
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ รุ่นที่ 6

jumboslot

บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ รุ่นที่ 6 รุ่นปรับโฉม
บีเอ็มดับเบิลยู 5 ซีรีส์ F10 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน BMW Xpo 2010 โดยทำตลาดดังนี้มีการเปิดตัวครั้งแรกโดยเป็นรุ่นนำเข้าทั้ง 2 รุ่นคือ BMW 535i และ BMW 530dมีการเปิดตัว BMW 523i ใหม่ รุ่นประกอบในประเทศ โดยมี 2 รุ่น ประกอบด้วย BMW 523i และ BMW 523i Highline พ.ศ. 2554มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่เป็นรุ่น 520d และ 525d ซึ่งเข้ามาแทนที่ 530d รุ่นนำเข้า โดยทั้ง 2 รุ่นเป็นรุ่นประกอบในประเทศ
มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่เป็นรุ่น 520d Touring Sport รถแวกอนพร้อมชุดแต่ง M Sport พ.ศ. 255 มีการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ในรุ่นเครื่องเบนซินอย่าง 520i, 528i, และ 528i Sport โดยทั้ง 3 รุ่น เข้ามาจำหน่ายแทน 523iมีการเปิดตัวรุ่น ActiveHybrid 5 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ไฮบริดเต็มรูปแบบ พ.ศ. 255 มีการปรับอุปกรณ์ใหม่โดยเพิ่มระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง Rear Seat Entertainment (ยกเว้นรุ่น 520d, 520i และ 528i Sport) พร้อมจอขนาด 9.2 นิ้ว 2 ตำแหน่ง แยกการแสดงผลเป็นอิสระ พร้อมรีโมทคอนโทรล สามารถดูโทรทัศน์และภาพยนตร์จากแผ่น DVD, แผนที่จากระบบนำทางผ่านดาวเทียม, และแยกการฟังวิทยุผ่านทางหูฟังส่วนตัวซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริม มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมหรือ LCI โดยมี 7 รุ่นย่อยคือ 520i, 520d, 525d M Sport, 525d Luxury, 528i M Sport, 528i Luxury และ
มีการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ของคนรักรถดีเซลที่ต้องราคาที่จับต้องได้คือ 520d Elite โดยตัดชุดแต่ง M Sport / ล้อ M Sport ออกไป ได้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ส่วน Option พื้นฐาน และอุปกรณ์ต่างๆ ใกล้เคียงกับ 520d M Sport เดิม

slot

บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์

บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ (BMW 3 Series) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราระดับต้น (compact executive car) ของบริษัทรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู เริ่มผลิตครั้งแรกใน พ.ศ. 2518 จนถึงปัจจุบัน มียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้น 9.5 ล้านคัน และในพ.ศ. 2548 เป็นซีรีส์ที่มียอดขายสูงที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู โดยยอดขายของซีรีส์ 3 คิดเป็นร้อยละ 40 ของยอดขายรถบีเอ็มดับเบิลยูทั้งหมดในปี พ.ศ. 2548 โดยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ มีวิวัฒนาการตามช่วงเวลาได้ 7 Generation (รุ่น) ดังนี้
รุ่นที่ 1 (E21, พ.ศ. 2518 – 2526)

jumbo jili

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 รุ่นที่ 1
บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นแรก หรือ E21 ออกแบบมาเพื่อทดแทนรถรุ่น BMW 2002 มีตัวถัง 2 แบบ คือ ซีดาน 2 ประตู และเปิดประทุน 2 ประตู โดยมีรุ่นดั้งเดิมคือรุ่น 316, 318 และ 320 ซึ่งใช้เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ 4 สูบ แต่ในปลายปีที่เปิดตัว บีเอ็มดับเบิลยูได้ออกรุ่น 320i มาขายทดแทนรุ่น 320 ซึ่งเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์หัวฉีด ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น แต่ประหยัดน้ำมัน
ต่อมา ใน พ.ศ. 2522 หลังเกิดวิกฤติน้ำมันแพงขึ้นรอบหนึ่งในช่วงนั้น บีเอ็มดับเบิลยูได้ออกรุ่น 315 ซึ่งมีขนาดลูกสูบเล็กกว่ารุ่นมาตรฐาน 200 ซีซี เพื่อประหยัดน้ำมัน และมีการทำรุ่น 318i เครื่องยนต์หัวฉีด มาทดแทนรุ่น 318 เพื่อให้เครื่องยนต์มีกำลังขึ้นและประหยัดน้ำมัน แต่อย่างไรก็ตาม อีกขั้วหนึ่ง ในปีเดียวกันก็ได้ออกรถรุ่นที่เน้นการมีกำลังมาก คือรุ่น 320/6 ออกมาขายทดแทนรุ่น 320i โดยใช้เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ 6 สูบ 2000 ซีซี และตามมาด้วยรุ่น 323i ในปีถัดมา ใช้เครื่องยนต์หัวฉีด 2300 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในรุ่นแรกนี้ บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ มีระบบเกียร์ให้เลือกซื้อ 3 แบบ คือ เกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด, เกียร์ธรรมดา 4 สปีด และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แต่บีเอ็มดับเบิลยูเน้นการขายเกียร์ธรรมดา 4 สปีดเป็นหลัก เพราะเกียร์ธรรมดา 5 สปีดยังเป็นของใหม่ มีราคาแพงกว่าพอสมควร ส่วนเกียร์อัตโนมัติก็ยังไม่ได้รับการพัฒนามากนัก จึงมีราคาแพงและสิ้นเปลืองน้ำมันมาก (ส่วนเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ก็ยังมีราคาแพงมาก จึงยังไม่ใช้กับรถขนาดเล็กอย่าง 3 ซีรีส์)

สล็อต

บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ E21 มียอดผลิตรวมทั้งสิ้น 1,364,039 คัน
บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นที่ 2 หรือ E30 ได้มีการใส่ภาพลักษณ์ใหม่ๆ เข้าไปมากมาย เช่น มีการทำระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด, ตัวถังซีดาน 4 ประตู เป็นครั้งแรก มีการใช้เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด Jetronic และลูกเล่นอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่มีใน E21 ทำให้ราคาของ E30 เพิ่มขึ้นจนเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับ E21 ส่วนภาพรวมอื่นๆ นั้น ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
E30 มียอดรวมการผลิตทั้งสิ้น 2,339,248 คันในประเทศไทย เอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นที่ 2 หรือ E30 ได้ทำตลาดดังนี้
พ.ศ. 2527 บริษัทยนตรกิจได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่งานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 5 ที่สวนอัมพร โดยได้ทำตลาดเป็นครั้งแรกด้วยรุ่น 316 เครื่อง M10 คาร์บูเรเตอร์ไฟฟ้า กระจกมือหมุน และไม่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ โดดเด่นด้วยชุดไฟแจ้งเตือนการเข้ารับบริการ SI (Service Interval Indicator) E30 เปิดตัวโดยมีบอดี้ให้ลูกค้าเลือกได้ว่าจะเอาแบบ 2 ประตู หรือ 4 ประตู โดยตั้งราคาเอาไว้ที่ 519,000 บาทสำหรับรุ่น 2 ประตู และ 549,000 บาทสำหรับรุ่น 4 ประตู
พ.ศ. 2528มีการเปลี่ยนระบบส่งกำลังให้กับ E30 โดยนำเอาเกียร์ธรรมดา 5 สปีดมาใส่ และเพิ่มราคาเป็น 539,000-569,000 บาท ในปีนี้ยอดขายของ E30 ยังคงพุ่งแรง ในปีนั้น E30 เป็นรถที่ขายดีที่สุดในตลาดไทยเป็นอันดับสองรองจาก Peugeot 305GL
พ.ศ. 2529 มีการแนะนำรุ่น 318i สองประตูลงขายที่เน้นความสปอร์ตมากขึ้น โดยความพิเศษของรถรุ่นนี้ก็คือเครื่องยนต์รหัส M10 ที่เปลี่ยนระบบจ่ายเชื้อเพลิงจากคาร์บูเรเตอร์ไฟฟ้ามาเป็นหัวฉีดไฟฟ้า ของ Bosch รุ่น L-Jetronic แทน ทำให้สามารถจ่ายน้ำมันได้แม่นยำขึ้น ส่งผลเรื่องความประหยัดน้ำมัน และทำให้แรงม้าเพิ่มเป็น 105 แรงม้า และมันได้รับการตกแต่งภายนอกด้วยชุดแต่ง M-Technic ที่มีกันชนสไตล์สปอร์ตและสปอยเลอร์หลังอีกด้วย สำหรับภายในก็มีพวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้านมาให้ สำหรับความปลอดภัยก็มีให้เข็มขัดนิรภัยมาครบทุกจุด
ในช่วงเวลานี้ มันกลายเป็นรถที่สร้างชื่อในวงการมอเตอร์สปอร์ตในประเทศไทยด้วย บริษัทผู้แทนจำหน่ายเองก็ทำรถแข่งลงมาเล่นกับเขาด้วยภายใต้ชื่อทีมแข่ง “ยนตรกิจมอเตอร์สปอร์ต” มีนักแข่งในสังกัดเช่นคุณฐิติ เกิดรพ ที่คว้าแชมป์รุ่น Expert โอเวอร์ 1,600 ซี.ซี.ในการแข่งโมบิลกรังด์ปรีซ์ที่สนามพีระเซอร์กิต ที่จริงแล้วทีมยนตรกิจส่งรถเข้าแข่งขันในหลายคลาส และในรุ่นที่เน้นความแรง จะใช้เครื่องสเป็คตัวแข่งขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งปั่นได้ 300 แรงม้า

สล็อตออนไลน์

มีการปรับราคาของ E30 อีกครั้ง ตามยุทธวิธีการขายของยนตรกิจในสมัยนั้น โดยมีการปรับราคาขึ้น ราคาของมัน อย่างในรุ่น 318i ก็โดดจากไม่ถึง 6 แสนมาอยู่ที่ 690,000 บาท แต่ก็ยังทำยอดขายได้ดี เพราะความต้องการของผู้ซื้อมีอยู่สูง
พ.ศ. 2530 มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมตามเมืองนอก โดยจุดที่สังเกตคือไฟท้ายซึ่งเปลี่ยนจากไฟถอยหลังที่อยู่ชิดขอบใน และมีลอนพาดตามแนวนอน (คนจึงเรียกฉายาว่า “รุ่นไฟท้ายสองชั้น”) มาเป็นไฟท้ายที่ดูไฮเทคขึ้น มีลอนพาดผ่านเพิ่มมาอีกหนึ่ง ทำให้รุ่นนี้ได้ชื่อว่าไฟท้ายสามชั้น เครื่อง M10 หัวฉีดก็ถูกยกมาวางในรถตัวถังสี่ประตู และจำหน่ายในชื่อ 316i (ถึงแม้ความจุจริงจะเป็น 1.8 ลิตร) แต่รุ่นคูเป้ก็ยังจำหน่ายในโฉมเดิมอยู่ ต้องรอจนถึงอีกหนึ่งปีจึงได้รับการปรับโฉมตามรุ่นซาลูนไป
พ.ศ. 2532 E30 รุ่นคูเป้ได้มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมตามรุ่นซาลูน และยังได้เครื่องยนต์ใหม่รหัส M40 มาแทนเครื่อง M10 แบบเดิม ถึงแม้รูปแบบของเครื่องยนต์ยังเป็น 4 สูบ 8 วาล์วอยู่ แต่ก็ได้มีการเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนแค็มชาฟท์จากโซ่มาใช้สายพาน และจ่ายน้ำมันผ่านระบบหัวฉีดของ Bosch Motronic 1.3 มากับความจุ 2 ขนาด เครื่อง M40B16 วางในรุ่น 316i 4ประตู เป็นเครื่องขนาด 1.6 ลิตร 102 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีดเพียงอย่างเดียว และ M40B18 วางในรุ่น 318i 2 ประตูและ 4ประตู ความจุ 1.8 ลิตร ให้กำลัง 115 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา
หลังจากที่ทำตลาดมานาน 8 ปี E30 ก็ถูกแทนที่โดย E36 ซึ่งเปิดตัวในไตรมาสแรกของปี 2535 และแม้ว่ายังมี E30 จำนวนหนึ่งที่ขายเคียงคู่กับ E36 ต่อมาอีกนานพอสมควร ปี 2535 ถือว่าเป็นปีที่ E30 ยุติทำตลาดในไทยไปอย่างเป็นทางการ โดยราคาของ 318i อยู่ที่ 960,000 บาทและราคาของ 318iA อยู่ที่ 990,000 บาท

jumboslot

บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นที่ 3 รุ่นที่ 3 หรือ เป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในทุกตลาดที่บุกไป เป็นรากฐานปูทางความสำเร็จให้บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์รุ่นต่อๆ มา โดยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในชื่อ Dolphin Shape หรือ ทรงปลาวาฬ ซึ่งมีที่มาจากการที่รูปทรงของ E36 มีความโค้งมนมากขึ้น และไฟหน้าที่เปลี่ยนจากรุ่นก่อนไปอย่างชัดเจน จึงมีคนตั้งชื่อเล่นตามรูปทรงของมัน คือ Dolphin Shape แต่ในประเทศไทย มักเรียกกันว่า “โฉมนกแก้ว” E36 มีรถให้เลือกหลายเกรด ตั้งแต่เกรดธรรมดา (เครื่องยนต์4สูบ 1600 ซีซี) ไปจนถึงเกรดแรงจัด (เครื่องยนต์ 6 สูบ 3200 ซีซี 24 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 321 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) นอกจากนี้ยังมีการทำตัวถังแบบซีดาน (รถทรงทั่วไป ภายในกว้างขวาง มีกระโปรงหลัง), คูเป้ (รถทรงสปอร์ต ตัวถังเบา แรงม้าสูง) สำหรับคนที่ชอบความเร็ว, แบบวากอน (คล้ายๆ ฮอนด้า ซีอาร์-วี) สำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยว, แบบแฮทช์แบ็ค (คล้ายๆ ฮอนด้า แจ๊ซ) สำหรับคนที่ต้องการรถที่กะทัดรัด ขับง่าย รวมไปถึงรถเปิดประทุน(เปิดหลังคาออกได้) ทำให้ครอบคลุมความต้องการได้กว้างขวาง ประกอบกับการที่รถ บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ เป็นรถขนาดเล็กอยู่แล้ว ราคาไม่แพง(เฉพาะเมื่อเทียบกับซีรีส์อื่นๆ) ทำให้มียอดขายที่สูง
ในรุ่นนี้ มีระบบเกียร์ให้เลือก 4 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 กับ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 กับ 5 สปีด ส่วนเกียร์ธรรมดา 4 สปีด กับเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดถูกยกเลิกไป ในประเทศไทย E36 หรือโฉมนกแก้ว จำหน่ายในปี 2535 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ทำลายกำแพงภาษีนำเข้าโดยนายอานันท์ ปันยารชุน พอดี รุ่นนี้เป็นรถ bmw ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยในยุคนั้น โดยมี 2 รุ่นที่ขายดีเทน้ำเทท่าคือ 318i และ 318iA ทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นรุ่นประกอบในประเทศโดยยนตรกิจ ทั้ง 2 รุ่นจะใช้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 4 สูบ รหัสเครื่องยนต์นั้นจะแตกต่างกันออกไป เป็น M40B18 M42B18 M43B18 และ M44B19 นอกจากนั้นยังมี 316i compact ที่ขายดีด้วยเช่นกัน โดยใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 4 สูบ รหัส M40B16 และ M43B16 ส่วนรุ่นนำเข้าจะเป็นรุ่น 318iS, 320i, 325i โดยในสเปกไทยมี abs airbag ให้แล้วมาในราคาประมาณ 1.6-1.7 ล้านบาท ในปี 1994 มีการเพิ่มรุ่น325iสเปกพิเศษ โดยเป็นเครื่อง 2400 ซีซี 188 แรงม้า ในรุ่นซีดาน 4 ประตู รุ่น318i เปลี่ยนเครื่องเป็น m43 ปี 1997 ปรับโฉมโดยเปลี่ยนไฟเลี้ยวและไฟท้าย มีรุ่น 323i และยังมีรุ่น 320i carbriolet อีกด้วยซึ่งนับว่าหายากพอสมควร

slot

บีเอ็มดับเบิลยู 1 ซีรีส์

บีเอ็มดับเบิลยู 1 ซีรีส์ เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กของบีเอ็มดับเบิลยู โดยเริ่มผลิตตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ปัจจุบันมีทั้งหมด 2 โฉมด้วยกันคือรุ่นที่ 1 (E87 พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2556) บีเอ็มดับเบิลยู 1 ซีรีส์ รุ่นที่ 1 หรือ E87 เปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2547 โดยมี 3 ประตู และ 5 ประตู แฮทช์แบคให้เลือก และมี 2 ประตูคูเป้ตามมาในปี พ.ศ. 2550 ในประเทศไทยเปิดตัวเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 โดยจำหน่ายในรุ่น 120i 5 ประตู พร้อมเครื่องยนต์ 1,995 ซีซี พร้อมระบบ Double VANOS และ Valvetronic 150 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 แรงบิดสูงสุด 20.38 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงยกเลิกทำตลาดไป แต่ก็ได้กลับมาจำหน่ายอีกครั้ง ในรุ่น 120d 2 ประตูคูเป้ พร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร N47D20 บล็อก 4 สูบเรียง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกันจึงยุติการทำตลาดไปในที่สุด บีเอ็มดับเบิลยู 1 ซีรีส์ รุ่นที่ 2 หรือ F20 เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยยังมี 3 ประตู และ 5 ประตู แฮทช์แบคให้เลือกเช่นเคย ส่วน 2 ประตูคูเป้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น 2 ซีรีส์ ในประเทศไทย รุ่นนี้เปิดตัวในงาน Motor Expo 2013 โดยได้ทำตลาดดังนี้

jumbo jili

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 รุ่นที่ 1
บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นแรก หรือ E21 ออกแบบมาเพื่อทดแทนรถรุ่น BMW 2002 มีตัวถัง 2 แบบ คือ ซีดาน 2 ประตู และเปิดประทุน 2 ประตู โดยมีรุ่นดั้งเดิมคือรุ่น 316, 318 และ 320 ซึ่งใช้เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ 4 สูบ แต่ในปลายปีที่เปิดตัว บีเอ็มดับเบิลยูได้ออกรุ่น 320i มาขายทดแทนรุ่น 320 ซึ่งเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์หัวฉีด ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น แต่ประหยัดน้ำมัน
ต่อมา ใน พ.ศ. 2522 หลังเกิดวิกฤติน้ำมันแพงขึ้นรอบหนึ่งในช่วงนั้น บีเอ็มดับเบิลยูได้ออกรุ่น 315 ซึ่งมีขนาดลูกสูบเล็กกว่ารุ่นมาตรฐาน 200 ซีซี เพื่อประหยัดน้ำมัน และมีการทำรุ่น 318i เครื่องยนต์หัวฉีด มาทดแทนรุ่น 318 เพื่อให้เครื่องยนต์มีกำลังขึ้นและประหยัดน้ำมัน แต่อย่างไรก็ตาม อีกขั้วหนึ่ง ในปีเดียวกันก็ได้ออกรถรุ่นที่เน้นการมีกำลังมาก คือรุ่น 320/6 ออกมาขายทดแทนรุ่น 320i โดยใช้เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ 6 สูบ 2000 ซีซี และตามมาด้วยรุ่น 323i ในปีถัดมา ใช้เครื่องยนต์หัวฉีด 2300 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในรุ่นแรกนี้ บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ มีระบบเกียร์ให้เลือกซื้อ 3 แบบ คือ เกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด, เกียร์ธรรมดา 4 สปีด และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แต่บีเอ็มดับเบิลยูเน้นการขายเกียร์ธรรมดา 4 สปีดเป็นหลัก เพราะเกียร์ธรรมดา 5 สปีดยังเป็นของใหม่ มีราคาแพงกว่าพอสมควร ส่วนเกียร์อัตโนมัติก็ยังไม่ได้รับการพัฒนามากนัก จึงมีราคาแพงและสิ้นเปลืองน้ำมันมาก (ส่วนเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ก็ยังมีราคาแพงมาก จึงยังไม่ใช้กับรถขนาดเล็กอย่าง 3 ซีรีส์)

สล็อต

บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ E21 มียอดผลิตรวมทั้งสิ้น 1,364,039 คัน
บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นที่ 2 หรือ E30 ได้มีการใส่ภาพลักษณ์ใหม่ๆ เข้าไปมากมาย เช่น มีการทำระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด, ตัวถังซีดาน 4 ประตู เป็นครั้งแรก มีการใช้เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด Jetronic และลูกเล่นอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่มีใน E21 ทำให้ราคาของ E30 เพิ่มขึ้นจนเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับ E21 ส่วนภาพรวมอื่นๆ นั้น ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
E30 มียอดรวมการผลิตทั้งสิ้น 2,339,248 คันในประเทศไทย เอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นที่ 2 หรือ E30 ได้ทำตลาดดังนี้
พ.ศ. 2527 บริษัทยนตรกิจได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่งานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 5 ที่สวนอัมพร โดยได้ทำตลาดเป็นครั้งแรกด้วยรุ่น 316 เครื่อง M10 คาร์บูเรเตอร์ไฟฟ้า กระจกมือหมุน และไม่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ โดดเด่นด้วยชุดไฟแจ้งเตือนการเข้ารับบริการ SI (Service Interval Indicator) E30 เปิดตัวโดยมีบอดี้ให้ลูกค้าเลือกได้ว่าจะเอาแบบ 2 ประตู หรือ 4 ประตู โดยตั้งราคาเอาไว้ที่ 519,000 บาทสำหรับรุ่น 2 ประตู และ 549,000 บาทสำหรับรุ่น 4 ประตู
พ.ศ. 2528มีการเปลี่ยนระบบส่งกำลังให้กับ E30 โดยนำเอาเกียร์ธรรมดา 5 สปีดมาใส่ และเพิ่มราคาเป็น 539,000-569,000 บาท ในปีนี้ยอดขายของ E30 ยังคงพุ่งแรง ในปีนั้น E30 เป็นรถที่ขายดีที่สุดในตลาดไทยเป็นอันดับสองรองจาก Peugeot 305GL
พ.ศ. 2529 มีการแนะนำรุ่น 318i สองประตูลงขายที่เน้นความสปอร์ตมากขึ้น โดยความพิเศษของรถรุ่นนี้ก็คือเครื่องยนต์รหัส M10 ที่เปลี่ยนระบบจ่ายเชื้อเพลิงจากคาร์บูเรเตอร์ไฟฟ้ามาเป็นหัวฉีดไฟฟ้า ของ Bosch รุ่น L-Jetronic แทน ทำให้สามารถจ่ายน้ำมันได้แม่นยำขึ้น ส่งผลเรื่องความประหยัดน้ำมัน และทำให้แรงม้าเพิ่มเป็น 105 แรงม้า และมันได้รับการตกแต่งภายนอกด้วยชุดแต่ง M-Technic ที่มีกันชนสไตล์สปอร์ตและสปอยเลอร์หลังอีกด้วย สำหรับภายในก็มีพวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้านมาให้ สำหรับความปลอดภัยก็มีให้เข็มขัดนิรภัยมาครบทุกจุด
ในช่วงเวลานี้ มันกลายเป็นรถที่สร้างชื่อในวงการมอเตอร์สปอร์ตในประเทศไทยด้วย บริษัทผู้แทนจำหน่ายเองก็ทำรถแข่งลงมาเล่นกับเขาด้วยภายใต้ชื่อทีมแข่ง “ยนตรกิจมอเตอร์สปอร์ต” มีนักแข่งในสังกัดเช่นคุณฐิติ เกิดรพ ที่คว้าแชมป์รุ่น Expert โอเวอร์ 1,600 ซี.ซี.ในการแข่งโมบิลกรังด์ปรีซ์ที่สนามพีระเซอร์กิต ที่จริงแล้วทีมยนตรกิจส่งรถเข้าแข่งขันในหลายคลาส และในรุ่นที่เน้นความแรง จะใช้เครื่องสเป็คตัวแข่งขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งปั่นได้ 300 แรงม้า

สล็อตออนไลน์

มีการปรับราคาของ E30 อีกครั้ง ตามยุทธวิธีการขายของยนตรกิจในสมัยนั้น โดยมีการปรับราคาขึ้น ราคาของมัน อย่างในรุ่น 318i ก็โดดจากไม่ถึง 6 แสนมาอยู่ที่ 690,000 บาท แต่ก็ยังทำยอดขายได้ดี เพราะความต้องการของผู้ซื้อมีอยู่สูง
พ.ศ. 2530 มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมตามเมืองนอก โดยจุดที่สังเกตคือไฟท้ายซึ่งเปลี่ยนจากไฟถอยหลังที่อยู่ชิดขอบใน และมีลอนพาดตามแนวนอน (คนจึงเรียกฉายาว่า “รุ่นไฟท้ายสองชั้น”) มาเป็นไฟท้ายที่ดูไฮเทคขึ้น มีลอนพาดผ่านเพิ่มมาอีกหนึ่ง ทำให้รุ่นนี้ได้ชื่อว่าไฟท้ายสามชั้น เครื่อง M10 หัวฉีดก็ถูกยกมาวางในรถตัวถังสี่ประตู และจำหน่ายในชื่อ 316i (ถึงแม้ความจุจริงจะเป็น 1.8 ลิตร) แต่รุ่นคูเป้ก็ยังจำหน่ายในโฉมเดิมอยู่ ต้องรอจนถึงอีกหนึ่งปีจึงได้รับการปรับโฉมตามรุ่นซาลูนไป
พ.ศ. 2532 E30 รุ่นคูเป้ได้มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมตามรุ่นซาลูน และยังได้เครื่องยนต์ใหม่รหัส M40 มาแทนเครื่อง M10 แบบเดิม ถึงแม้รูปแบบของเครื่องยนต์ยังเป็น 4 สูบ 8 วาล์วอยู่ แต่ก็ได้มีการเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนแค็มชาฟท์จากโซ่มาใช้สายพาน และจ่ายน้ำมันผ่านระบบหัวฉีดของ Bosch Motronic 1.3 มากับความจุ 2 ขนาด เครื่อง M40B16 วางในรุ่น 316i 4ประตู เป็นเครื่องขนาด 1.6 ลิตร 102 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีดเพียงอย่างเดียว และ M40B18 วางในรุ่น 318i 2 ประตูและ 4ประตู ความจุ 1.8 ลิตร ให้กำลัง 115 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา
หลังจากที่ทำตลาดมานาน 8 ปี E30 ก็ถูกแทนที่โดย E36 ซึ่งเปิดตัวในไตรมาสแรกของปี 2535 และแม้ว่ายังมี E30 จำนวนหนึ่งที่ขายเคียงคู่กับ E36 ต่อมาอีกนานพอสมควร ปี 2535 ถือว่าเป็นปีที่ E30 ยุติทำตลาดในไทยไปอย่างเป็นทางการ โดยราคาของ 318i อยู่ที่ 960,000 บาทและราคาของ 318iA อยู่ที่ 990,000 บาท

jumboslot

บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ รุ่นที่ 3 รุ่นที่ 3 หรือ เป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในทุกตลาดที่บุกไป เป็นรากฐานปูทางความสำเร็จให้บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์รุ่นต่อๆ มา โดยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในชื่อ Dolphin Shape หรือ ทรงปลาวาฬ ซึ่งมีที่มาจากการที่รูปทรงของ E36 มีความโค้งมนมากขึ้น และไฟหน้าที่เปลี่ยนจากรุ่นก่อนไปอย่างชัดเจน จึงมีคนตั้งชื่อเล่นตามรูปทรงของมัน คือ Dolphin Shape แต่ในประเทศไทย มักเรียกกันว่า “โฉมนกแก้ว” E36 มีรถให้เลือกหลายเกรด ตั้งแต่เกรดธรรมดา (เครื่องยนต์4สูบ 1600 ซีซี) ไปจนถึงเกรดแรงจัด (เครื่องยนต์ 6 สูบ 3200 ซีซี 24 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 321 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) นอกจากนี้ยังมีการทำตัวถังแบบซีดาน (รถทรงทั่วไป ภายในกว้างขวาง มีกระโปรงหลัง), คูเป้ (รถทรงสปอร์ต ตัวถังเบา แรงม้าสูง) สำหรับคนที่ชอบความเร็ว, แบบวากอน (คล้ายๆ ฮอนด้า ซีอาร์-วี) สำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยว, แบบแฮทช์แบ็ค (คล้ายๆ ฮอนด้า แจ๊ซ) สำหรับคนที่ต้องการรถที่กะทัดรัด ขับง่าย รวมไปถึงรถเปิดประทุน(เปิดหลังคาออกได้) ทำให้ครอบคลุมความต้องการได้กว้างขวาง ประกอบกับการที่รถ บีเอ็มดับเบิลยู 3 ซีรีส์ เป็นรถขนาดเล็กอยู่แล้ว ราคาไม่แพง(เฉพาะเมื่อเทียบกับซีรีส์อื่นๆ) ทำให้มียอดขายที่สูง
ในรุ่นนี้ มีระบบเกียร์ให้เลือก 4 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 กับ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 กับ 5 สปีด ส่วนเกียร์ธรรมดา 4 สปีด กับเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดถูกยกเลิกไป ในประเทศไทย E36 หรือโฉมนกแก้ว จำหน่ายในปี 2535 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ทำลายกำแพงภาษีนำเข้าโดยนายอานันท์ ปันยารชุน พอดี รุ่นนี้เป็นรถ bmw ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยในยุคนั้น โดยมี 2 รุ่นที่ขายดีเทน้ำเทท่าคือ 318i และ 318iA ทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นรุ่นประกอบในประเทศโดยยนตรกิจ ทั้ง 2 รุ่นจะใช้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 4 สูบ รหัสเครื่องยนต์นั้นจะแตกต่างกันออกไป เป็น M40B18 M42B18 M43B18 และ M44B19 นอกจากนั้นยังมี 316i compact ที่ขายดีด้วยเช่นกัน โดยใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 4 สูบ รหัส M40B16 และ M43B16 ส่วนรุ่นนำเข้าจะเป็นรุ่น 318iS, 320i, 325i โดยในสเปกไทยมี abs airbag ให้แล้วมาในราคาประมาณ 1.6-1.7 ล้านบาท ในปี 1994 มีการเพิ่มรุ่น325iสเปกพิเศษ โดยเป็นเครื่อง 2400 ซีซี 188 แรงม้า ในรุ่นซีดาน 4 ประตู รุ่น318i เปลี่ยนเครื่องเป็น m43 ปี 1997 ปรับโฉมโดยเปลี่ยนไฟเลี้ยวและไฟท้าย มีรุ่น 323i และยังมีรุ่น 320i carbriolet อีกด้วยซึ่งนับว่าหายากพอสมควร

slot