เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส (Mercedes-Benz S-Class) เป็นรถซีดาน ที่ใหญ่ที่สุด ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ผลิต และเป็นรถธง ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ด้วย โดยเริ่มการผลิตเมื่อ พ.ศ. 2494 จนถึงปัจจุบัน เป็นรถซีดานระดับหรูหราที่ขายดีที่สุดในโลก วิวัฒนาการแบ่งตามช่วงเวลาได้ดังนี้
W187 (พ.ศ. 2494-2498)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ W187
โฉมนี้ ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ 2200 ซีซี รูปทรงรถคล้ายคลึงกับ W136 ของ อี-คลาส แต่ไฟหน้าของ W187 จะติดตั้งลงไปในแผ่นบังโคลน ส่วน W136 จะเป็นไฟที่แยกไว้ต่างหาก ตัวถังมี 3 แบบ คือ ซีดาน คูเป้ และเปิดประทุน

jumbo jili

W180 และ W128 (พ.ศ. 2497-2503)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส W128
W180 ผลิตระหว่าง พ.ศ. 2497 – พ.ศ. 2502 เป็นเครื่องยนต์ 6 สูบ 2195 ซีซี ซึ่งถือว่ามากในยุคนั้น โฉมนี้ใช้โค้ดหลังรถว่า 220a กับ 220S ใช้เกียร์ธรรมดา 4 สปีด ขายในราคาระหว่าง 4,175 – 7,138 ดอลลาร์สหรัฐ (แล้วแต่รุ่น) ซึ่งเทียบเท่า 1.1 – 1.9 ล้านบาทในปัจจุบัน โฉมนี้ มีชื่อเล่นว่า “Ponton” ซึ่งในช่วงของ W180 ได้มีรถแฝดออกมา ซึ่งจะมีรายละเอียดโดยรวมคล้ายกัน แต่จะมีความต่างเล็กน้อย คือ W128
W128 ผลิตระหว่าง พ.ศ. 2501 – พ.ศ. 2503 ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ 2195 ซีซี ใช้โค้ดหลังรถ 220SE กับ 220SEb เกียร์ธรรมดา 4 สปีด โดยโฉมนี้ มีชื่อเล่นว่า “Ponton” เช่นกัน ซึ่งคำว่า Ponton มาจากคำว่า Pontoon ในภาษาเยอรมนี แปลว่า เรือท้องแบน

สล็อต

W111 และ W112 (พ.ศ. 2502-2514)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส W111
W111 ผลิตระหว่าง พ.ศ. 2502 – พ.ศ. 2514 ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ ใช้โค้ดหลังรถ 220b หรือ 220Sb หรือ 220SEb โดย W111 นี้ มีชื่อเล่นว่า “Fintail”
W112 ผลิตระหว่าง พ.ศ. 2504 – พ.ศ. 2510 ซึ่งซ้อนทับกับช่วงเวลาของ W111 พอดี เนื่องจากเป็นรถที่รูปลักษณ์ภายนอกคลายกัน และจัดว่าเป็นโฉมเดียวกัน แต่จะเป็นรุ่นที่หรูหรากว่า W111 ใช้โค้ดหลังรถว่า 300SE หรือ 300SEL โดย W112 นี้ มีชื่อเล่นว่า Fintail เช่นกัน ซึ่งแปลว่ามี Tailfins หรือ “ครีบหลัง” อยู่บนกระโปรงหลังรถทั้ง 2 ข้าง
W108 (พ.ศ. 2508-2515)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส W108
โฉมนี้ ใช้โค้ดหลังรถว่า 250S หรือ 250SE หรือ 300SEb หรือ 280S หรือ 280SE หรือ 280SEL

สล็อตออนไลน์

W116 (พ.ศ. 2515-2523)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส W116
โฉมนี้ มีการใช้ระบบแอนตี้ล็อกเบรก (ABS) เป็นครั้งแรกและระบบถุงลมนิรภัยสำหรับคนขับ(Airbag) เป็นครั้งแรกเช่นกันในรุ่น 450SEL 6.9 ซึ่งเป็นเรือธงของโฉมนี้ นอกจากนี้ W116 ยังได้รับรางวัลชนะเลิศรถยนต์ยุโรปยอดเยี่ยมแห่งปี (European Car of the Year) ประจำปี พ.ศ. 2517
เป็นโฉมแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ตั้งชื่อว่า S-Class (โฉมก่อนหน้านี้จะเรียกกันว่า Ponton และ Fintail หรือเรียกรหัสโฉม (W108) แต่ไม่ได้ใช้ชื่อ S-Class อย่างเป็นทางการ) ซึ่งย่อมาจาก “Special Class”
W126 (พ.ศ. 2522-2535)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส W126
โฉมนี้ โฉมที่สองที่มีเทคโนโลยีถุงลมนิรภัย, เข็มขัดนิรภัย และ ระบบเบรก ABS เป็นโฉมที่มีการผลิตนานที่สุดในกลุ่ม S-Class ทั้งหมด แต่ก็มีกระแสตอบรับในแง่ลบออกมาบ้าง เพราะในช่วงโฉมนี้เกิดวิกฤติน้ำมันแพงขึ้นรอบหนึ่งซึ่งทำให้มีการกำหนดสเปกขึ้นมาต่างหากสำหรับกลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาหรือที่เรียกกันว่า SPEC U.S. ที่มีรายละเอียดต่างจากสเปกทั่วไป ทั้งด้านรูปลักษณ์และข้อมูลทางเทคนิค
ถึงกระนั้น W126 ก็ยังกวาดรางวัลได้มากมาย เช่นรางวัล “รถยนต์ปลอดภัยยอดเยี่ยมแห่งปี” จากสถาบันข้อมูลความเสียหายบนทางหลวง, ติดอันดับตารางรถที่ได้รับคะแนนพึงพอใจสูงสุดจากลูกค้าอันดับ 1, รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1981 จากนิตยสาร Wheels Magazine

jumboslot

W140 (พ.ศ. 2534-2542)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส W140
โฉมนี้ เมอร์เซเดสมีคู่แข่งสำคัญรายใหม่ คือ เล็กซัส แอลเอส (Lexus LS)
W140 เป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส โฉมสุดท้ายที่มีการผลิตเกียร์ธรรมดา โฉมถัดจากนี้เป็นต้นไปจะคงเหลือแต่เกียร์อัตโนมัติเท่านั้น
W140 รุ่น S280 เป็นรถยนต์ที่เจ้าหญิงไดอาน่าแห่งเวลส์ ทรงประสบอุบัติเหตุสิ้นพระชนม์ในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส อันเนื่องมาจาก การที่พระองค์ทรงพยายามเสด็จหลบหนีกลุ่มช่างภาพอิสระ (ปาปารัสซี่) ซึ่งพยายามสะกดรอยตามพระองค์ขณะทรงประทับอยู่ที่ปารีส นายอองรี ปอล ซึ่งเป็นคนขับรถ พยายามเร่งความเร็วเพื่อหลบหนีจากการติดตาม จนเมื่อถึงอุโมงค์ พอยต์ เดอ อัลมา ซึ่งมีความลาดชันสูง รถได้ไหลลงและมีความเร็วสูงขึ้น และเมื่อถึงทางโค้ง รถพุ่งชนแผงเหล็กกั้นอุโมงค์ และเสียหลักหมุนไปชนแผงกั้นอุโมงค์อีกฝั่งหนึ่ง หม้อน้ำระเบิดอย่างรุนแรง คนขับรถและพระสหายรวม 2 คน เสียชีวิตทันที ส่วนเจ้าหญิงและองครักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา ส่วนองครักษ์ แพทย์สามารถช่วยชีวิตไว้ได้
W220 (พ.ศ. 2542-2549)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส W220
โฉมนี้มีขนาดภายนอกที่ดูเล็กกว่า แต่ภายในได้รับการออกแบบให้ดูโอ่โถงกว้างขวางกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด และยกเลิกการผลิตเกียร์ธรรมดา คงเหลือไว้แต่เกียร์อัตโนมัติ
W220 ได้รับรางวัล รถยนต์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยม จากคณะกรรมการเทคโนโลยีแห่งเยอรมนี ,รางวัลการบุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ๆ จาก Popular Science ,รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี พ.ศ. 2542 จากนิตยสาร Wheels Magazine

slot

เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีที

เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีที (C109) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง เครื่องยนตร์หน้าลำ ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (FMR) 2 ประตู 2 ที่นั่ง พัฒนาโดย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี บริษัททำเครื่องยนต์พิเศษของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ รถได้รับการออกแบบภายนอกเช่นเดียวกับเอสแอลเอสโดย มาร์ก แฟเทอร์สัน (Mark Fetherston) และภายในโดยแจน คอล (Jan Kaul) เปิดเผยครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2014 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2014 ที่งานปารีสมอเตอร์โชว์ เป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อแทนสายการผลิต เอสแอลเอส ที่ได้หยุดการผลิตลงในปี ค.ศ. 2014 นอกจานี้ยังถือเป็นสายการผลิตที่ 2 ที่ผลิตจากค่าย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี

jumbo jili

รถประกอบด้วยอะลูมิเนียมโดยรวมคิดเป็น 93% โดยที่เหลือเป็นแม็กนีเซียม ในช่วงฐานล่างบริเวณด้านหน้ารถ ในส่วนระบบขับเคลื่อนเป็นเกียร์ดูอัล-คลัทซ์ AMG SPEEDSHIFT DCT 7 จังหวะ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีที ได้ออกรุ่นย่อยเป็น 2 รุ่น คือ เอเอ็มจี จีที (AMG GT) และ เอเอ็มจี จีที เอส (AMG GT S) ซึ่งมีสมรรถนะภาพสูงกว่ารุ่นมาตราฐานเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ดีสมรรถนะภาพโดยรวมถือว่าต่ำกว่ารุ่นเอสแอลเอส ก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก โดยเอเอ็มจี จีที ใช้เครื่องขนาด 4.0 ลิตร M178 twin-turbo จำนวน 8 ลูกสูบ V8 (340–375 kW) ในขณะที่เอสแอลเอส ใช้เครื่องขนาด 6.2 ลิตร ซึ่งเหตุผลที่ลดสมรรถนะภาพลงเพื่อจำหน่ายในตลาดที่ต่ำลงมา และเพื่อเทียบชั้นกับรุ่นที่ใกล้เคียงจากค่ายอื่นๆ เช่น ปอร์เช่ 911 เป็นต้นเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีที ซี (AMG GT C) และ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีที อาร์ (AMG GT R) ได้เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ราคา 16,800,000 บาท (AMG GT C) และ ราคา 17,400,000 บาท (AMG GT R)

สล็อต

เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีที อาร์ รุ่นปรับโฉม (AMG GT R Facelift) ได้เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ราคา 17,900,000ในปี 1938 หลังเยอรมนีผนวกบ้านพี่เมืองน้องอย่างออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน ในที่สุด ฮิตเลอร์ส่งกองทัพเข้ายึดประเทศออสเตรียและประเทศเชโกสโลวาเกียโดยไม่สนคำครหา กลิ่นของสงครามเข้าปกคลุมทั้งทวีปยุโรป สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสต้องการเลี่ยงสงครามจึงได้จัดการประชุมมิวนิกกับเยอรมนีในเดือนกันยายน เพื่อเป็นหลักประกันว่าเยอรมนีจะไม่รุกรานดินแดนใดไปมากกว่านี้และจะไม่ก่อสงคราม แต่ขณะเดียวกัน ต่างฝ่ายก็ต่างสั่งสมกำลังเพื่อเตรียมเข้าสู่สงคราม ในปี 1939 การบุกยึดโปแลนด์ของเยอรมนีได้จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ตามด้วยการบุกครองประเทศอื่น ๆ ในยุโรปและยังทำกติกาสัญญาไตรภาคีเป็นพันธมิตรกับอิตาลีและญี่ปุ่น เขตอิทธิพลของนาซีเยอรมันได้แผ่ไพศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเยอรมันในปี 1942 ครอบคลุมส่วนใหญ่ของยุโรปภาคพื้นทวีป ในปี 1943 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของเยอรมนีจาก “ไรช์เยอรมัน” (Deutsches Reich) เป็น “ไรช์เยอรมันใหญ่” (Großdeutsches Reich)

สล็อตออนไลน์

หลังความล้มเหลวในปฏิบัติการบาร์บารอสซาที่สหภาพโซเวียต เยอรมันก็ถูกรุกกลับอย่างรวดเร็วจากทั้งสองด้าน เมื่อกองทัพแดงบุกถึงกรุงเบอร์ลินในเดือนเมษายน 1945 ฮิตเลอร์ปฏิเสธที่จะหนีออกจากกรุงเบอร์ลินและตัดสินใจยิงตัวตาย หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เยอรมนีก็ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมนีตะวันออกและตะวันตก (ค.ศ. 1945–1990)
หลังเยอรมนียอมจำนนแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้แบ่งกรุงเบอร์ลินและประเทศเยอรมนีออกเป็น 4 เขตในยึดครองทางทหาร เขตฝั่งตะวันตกซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐ ได้รวมกันและจัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า “สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี” เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ส่วนเขตทางตะวันออกซึ่งอยู่ในควบคุมของสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า “สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี” เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ทั้งสองประเทศนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “ประเทศเยอรมนีตะวันตก” มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงบ็อน และ “ประเทศเยอรมนีตะวันออก” มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงเบอร์ลินตะวันออก

jumboslot

เยอรมนีตะวันตกมีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐภายใต้รัฐสภากลาง และใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม (Social Market Economy) เยอรมนีตะวันตกรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจำนวนมากตามแผนมาร์แชลล์เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมของตน เศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันตกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนถูกเรียกว่า “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ” (Economic miracle) เยอรมนีตะวันตกเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในปี 1955 และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) ในปี 1957 เยอรมนีตะวันออกเป็นรัฐในกลุ่มตะวันออก (Eastern Bloc) ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและทางทหารของสหภาพโซเวียต และยังเป็นรัฐร่วมภาคีในกติกาสัญญาวอร์ซอ และแม้ว่าเยอรมนีตะวันออกจะอ้างว่าตนเองปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจทางการเมืองการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของโปลิตบูโรแห่งพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี (SED) ซึ่งมีหัวแบบคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ พรรคฯยังมีการหนุนหลังจาก “กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ “หรือที่เรียกว่า “ชตาซี” (Stasi) อันเป็นหน่วยงานรัฐขนาดใหญ่ที่ควบคุมเกือบทุกแง่มุมของสังคม เยอรมนีตะวันออกใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ อันเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทุกอย่างถูกวางแผนโดยรั ที่หน้าประตูบรันเดินบวร์ค ผู้คนออกมาชุมนุมยินดีต่อการพังทลายลงของกำแพงเบอร์ลินในปี 1989
ชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากพยายามข้ามไปยังเยอรมนีตะวันตกเพื่ออิสรภาพและชีวิตที่ดีกว่า ทำให้เยอรมนีตะวันออกตัดสินใจสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นมาเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดน กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 1961 กำแพงแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็นระหว่างฝ่ายเสรีกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ การพังทลายลงของกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ นำมาซึ่งการรวมประเทศเยอรมนีในปีถัดมา ก่อนที่จะตามมาด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปีให้หลัง

slot

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส เอเอ็มจี

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส เอเอ็มจี เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง เครื่องยนตร์หน้าลำ ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (FMR)ขับเคลื่อนทุกล้อ (FM4) 2 ประตู 2 ที่นั่ง พัฒนาโดย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี บริษัททำเครื่องยนต์พิเศษของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำให้เอสแอลเอส-เอเอ็มจี กลายเป็นรถคันแรกที่ออกแบบและสร้างทั้งหมดโดยค่ายเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จึงทำให้ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Mercedes-Benz SLS AMG” แทนการใช้คำว่า Class ที่ใช้กับทุกๆ รุ่น ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ รถได้รับการออกแบบไว้เมื่อปี ค.ศ. 2007 โดย มาร์ก เฟเธอร์สตัน ( Mark Fetherston )
ด้วยลักษณะประตูพิเศษที่เรียกว่า “ประตูปีกนกนางนวล” (Gull-wing doors) ซึ่งเคยมีการผลิตมาใช้กับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ 300เอสแอล (Mercedes-Benz 300SL) มาก่อนหน้านี้ ระหว่างปี ค.ศ. 1954 – 1957 แล้วก็ได้ยกเลิกไปตลอด คำว่า “เอสแอลเอส” ย่อมาจาก “Sport Leicht Super” ซึ่งแปลว่า “สปอร์ต เบา ซูเปอร์” รถเอสเแอลเอสทุกคัน ประกอบขึ้นที่เมืองซินเดลฟิงเงน (Sindelfingen) ประเทศเยอรมนี

jumbo jili

เอสเแอลเอส ได้เผยแพร่ครั้งแรก ในปี ค.ศ. 2009 ที่งานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ และเริ่มจำหน่าย ในช่วงกลางปี ค.ศ. 2010 ที่ยุโรปเป็นที่แรก และจำหน่ายในสหรัฐ ในช่วงกลางปี ค.ศ. 2011 ในปี ค.ศ. 2012 ที่งานปารีสมอเตอร์โชว์ เมอร์เซเดส เอเอ็มจี ก็ได้นำเสนอ เวอร์ชันไฟฟ้า ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมันทั้งหมด ใช้ชื่อว่า “Mercedes-Benz SLS AMG Electric Drive”
ปัจจุบันเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส-คลาสได้ยุติสายการผลิตลงและแทนที่ด้วย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีที (Mercedes-AMG GT) ในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งมีกำลังและราคาที่ลดลงกว่า เพื่อเทียบรุ่นกับปอร์เช่ 911
เอสแอลเอส ได้กลายเป็นรถยอดนิยมของเหล่าเซเลบมากมาย ทั้ง เอ็ดดี้ เมอร์ฟี, อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์, อัล ปาชิโน, ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์, บอริส เบกเคอร์, มาร์ก วาห์ลเบิร์ก, โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, ทอม แฮงส์ และคริสเตียโน โรนัลโด และรวมไปถึงเหล่าเซเลบในวงการรถยนต์ทั้ง เจย์ เลโน และเจเรมี คลาร์กสัน ในบทสัมภาษณ์ของคลาร์กสันจากรายการ “ท็อปเกียร์” เขาได้กล่าวถึงเอสแอลเอส เอเอ็มจี ว่า “เป็นรถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ไม่มีสิ่งใดที่จะ “มีกำลังมากกว่าเฟอร์รารี่ 458 อิตาเลีย มีเสียงที่ดังกว่าลัมโบร์กีนี นิดนึง และมันขับได้สนุกกว่า 911อาร์เอส จีที เทอร์โบ 3เอส…นี่น่าจะเรียกว่า ซูเปอร์คาร์ของเหล่าบุรุษ”

สล็อต

-SLS AMG Roadster ที่งานแฟรงค์เฟิร์ต อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์
-SLS AMG “AMG Desert Gold” – ปี ค.ศ. 2009 : เผยแพร่ครั้งแรกที่งาน ดูไบ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ปี ค.ศ. 2010 ในรูปแบบสีทองทั้งคัน
-SLS AMG Coupé – ปี ค.ศ. 2010 : เผยแพร่ครั้งแรกที่งาน แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์ โชว์ ปี ค.ศ. 2009 โฉมแรกและรุ่นแรก ของเอสแอลเอส
-SLS AMG “Blackbird” – ปี ค.ศ. 2010 : เผยแพร่ครั้งแรกที่งาน ออสเตรเลียน อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ปี 2010 ในรูปแบบสีดำทึบทั้งคัน แต่งด้วยขอบลายสีแดง
-SLS AMG E-CELL prototype – ปี ค.ศ. 2011 : เผยแพร่ครั้งแรกที่งาน อเมริกาเหนือ ออโต้ โชว์ ปี ค.ศ. 2011 ภายนอกไม่ต่างกับ เอสแอลเอส เอเอ็มจี คูเป้ แต่ต่างกันที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน มีมอเตอร์ไฟฟ้า 4 เครื่อง บรรจุในแบตเตอรี่ชนิดลิเทียม ขนาด 400V โดยแบตเตอรี่นำมาจากบริษัท Deutsche Accumotive GmbH & Co. KG
-SLS AMG GT3 – ปี ค.ศ. 2011 : เผยแพร่ครั้งแรกที่งาน นิวยอร์ก อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต้ โชว์ ปี ค.ศ. 2010 ในเวอร์ชันสไตล์รถแข่ง
-SLS AMG Roadster – ปี ค.ศ. 2011 : เผยแพร่ครั้งแรกที่งาน แฟรงค์เฟิร์ต อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ปี ค.ศ. 2011 โฉมเปิดประทุน โดยเป็นหลังคาผ้าใบ (มีแม็กนีเซียม/เหล็กกล้า/อะลูมิเนียม เป็นส่วนผสมภายในหลังคา ) สามารถพับเก็บได้ โดยใช้เวลาพับเปิด-ปิด เพียง 7 วินาที ส่วนประตูได้เปลี่ยนเป็นแบบธรรมดา

สล็อตออนไลน์

-SLS AMG Coupé Black Series
-SLS AMG Ambulance – ปี ค.ศ. 2011 : เผยแพร่ครั้งแรกที่งาน อาร์อีทีทีโมบิลล์ อีเมอร์เจนซี่ เวฮิเคิล เอ็กซ์โป ในปี ค.ศ. 2011 ในเวอร์ชันของรถฉุกเฉิน
-SLS AMG Matte Black Edition – ปี ค.ศ. 2012 : จำหน่ายในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2011 เป็นโฉมจำกัดจำนวน และจำหน่ายที่ญี่ปุ่น เท่านั้น ในรูปแบบสีดำทั้งคัน ( Night Black )
-SLS AMG Matte Edition – ปี ค.ศ. 2012 : จำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 เป็นโฉมจำกัดจำนวน โดย Coupé จำหน่ายเพียง 10 คัน และ Roadster จำหน่ายเพียง 5 คันเท่านั้น จุดเด่นของโฉมนี้คือ ฝั่งด้านคนขับอยู่ทางซ้ายเพื่อจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น
-SLS AMG GT – ปี ค.ศ. 2012 : จำหน่ายในช่วงเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 2012 มีทั้งแบบคูเป้ และแบบโรสเตอร์ โฉมนี้ ด้วยเครื่องยนต์ที่มีกำลังมากขึ้นกว่าปกติ

jumboslot

-SLS AMG GT3 “45th ANNIVERSARY” – ปี ค.ศ. 2012 : เผยแพร่ครั้งแรกที่งานเซาเปาลู อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ปี ค.ศ. 2012 เป็นโฉมจำกัดจำนวนจำหน่ายเพียง 5 คันเท่านั้น
-SLS AMG Coupé Black Series – ปี ค.ศ. 2012 : เผยแพร่ครั้งแรกที่งาน แอลเอ ออโต้ โชว์ ในปี ค.ศ. 2012 โดยนำไอเดียมาจาก SLS AMG GT3 มาปรับแต่งใหม่ในสไตล์รถแข่งมากยิ่งขึ้น
-SLS AMG Electric Drive – ปี ค.ศ. 2013 : เผยแพร่ครั้งแรกที่งาน ปารีส มอเตอร์ โชว์ ในปี ค.ศ. 2012 ในเวอร์ชันไฟฟ้าสำหรับการขับเคลื่อน โดยตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ €416,500 ( หรือประมาณ US$544,236) และจะทำให้รถรุ่นนี้ขึ้นบัลลังค์เป็นรถที่พลังงานไฟฟ้าที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก

slot