ซื้อกองทุนที่ไหนดีกว่ากัน

สวัสดีครับ นักลงทุนทุกท่าน กลับมาพบกันกับผม “หมอนัท” อีกครั้งที่คอลัมน์ Fund Clinic แห่งนี้ ปกติแล้วผมจะเขียนบทความถึงการลงทุนกับกองทุนรวมเสียเป็นส่วนใหญ่ ว่ากองทุนไหนที่น่าสนใจ หรือว่าอยู่ในกระแส และมีแนวโน้มการลงทุนที่ดีก็จะนำมาพูดคุยกันอย่างเสมอๆ แต่วันนี้จะขอพูดคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการลงทุนสักเล็กน้อย

jumbo jili

ซึ่งเป็นเรื่องสบายๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่มีคำถามเข้ามาหาผมมากพอสมควร และเป็นหนึ่งในคำถามยอดนิยมเลยก็ว่าได้ครับ

เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่อยากจะเริ่มลงทุนในกองทุนรวมก็มักจะเสาะหา “สถานที่ซื้อ หรือแหล่งที่ซื้อกองทุน” ที่สะดวกสบาย ใกล้บ้าน หรือว่าเป็นบริษัทที่เชื่อถือได้เป็นหลัก หรือบางครั้งก็พยายามถามว่าซื้อกับธนาคารไหนดี ซึ่งนักลงทุนหลายๆ คน โดยเฉพาะมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นคงคิดว่าน่าจะมีธนาคารที่เก่งกาจในเรื่องนี้ และมีกองทุนที่ดี และก็คงคิดว่าผลตอบแทนจากกองทุนที่มาจากธนาคารนั้น ต้องดีแน่ๆ เพื่อที่จะได้เลือกลงทุนกับธนาคารแห่งนั้นที่เดียวไปเลย ซึ่งผมจะบอกเลยครับว่า ไม่มีธนาคารไหนที่จะมีกองทุนที่ดีทุกกองทุนครับ แต่ละธนาคารจะมี

จุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่าการลงทุนในกองทุนนั้นไม่จำเป็นต้องซื้อกองทุนผ่านธนาคารเพียงอย่างเดียวนะครับ มีอีกหลายที่เลยที่เราสามารถลงทุนได้ และบางครั้งน่าจะตอบโจทย์การลงทุนในกองทุนมากกว่าเสียด้วยซ้ำครับ

สล็อต

แต่ก่อนที่เราจะไปรู้จักว่ามีที่ไหนบ้าง เรามารู้จักตัวย่อและผู้เกี่ยวข้องของบริษัทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการลงทุนกันก่อนนะครับ

1.บลจ. = บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน-มีหน้าที่คือ เป็นโรงงานผลิตกองทุนออกมาขายใหักับนักลงทุนนั่นเองครับ

2.บล. = บริษัทหลักทรัพย์-มีหน้าที่เป็นนายหน้าในการซื้อขาย หุ้น กองทุน และสินทรัพย์อื่นๆ พูดง่ายๆ ว่า บล.จะเอากองทุนของแต่ละ บลจ.ที่ผลิตออกมา มาขายต่อให้กับนักลงทุนนั่นเองครับ

3.บลน. = บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน-มีหน้าที่เป็นนายหน้าในการซื้อขายกองทุนเพียงอย่างเดียวครับ ไม่เหมือนกับ บล.ที่สามารถเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้นได้ด้วย

4.ตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน-อันนี้เป็นบุคคลธรรมดาที่มีใบอนุญาตในการทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำ และซื้อขายหน่วยลงทุน เราอาจจะเคยเห็นเพื่อนๆ เราที่ทำงานด้วยกัน ขายประกันใช่ไหมครับ คล้ายกันครับ แต่เพื่อนๆ กลุ่มนี้จะขายกองทุนแทนนั่นเอง

คราวนี้เรามาต่อกันครับ เชื่อว่าหลายๆ คน อยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่ามีทางไหนบ้างที่เราจะซื้อกองทุนได้อย่างสบายใจ ตามผมมาครับ

สล็อตออนไลน์

ทองคำ 13 ส.ค. ขึ้น 100 บาท
บาทเปิด 33.11บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่า
ซื้อกองทุนกับธนาคาร และ บลจ.โดยตรง

ข้อดี-อันนี้น่าจะเป็นช่องทางที่ง่ายที่สุด เพียงแค่เดินเข้าไปในธนาคารที่อยู่ใต้ตึกที่ทำงาน หรือว่าใกล้บ้าน และวิธีการก็ง่ายมากครับ เหมือนกับการเปิดบัญชีเงินฝากเท่านั้นครับ ท่านก็สามารถลงทุนในกองทุนได้แล้ว

นอกจากนี้ ยังได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ โดยตรง เช่น ถ้าลงทุนในกองทุน EEE จะได้บัตรเครดิต หรือสิทธิพิเศษในระดับ Gold ด้วยนั่นเอง

ข้อสังเกต-วิธีนี้ส่วนใหญ่ธนาคารเองก็จะเลือกขายเฉพาะกองทุนที่ออกโดย บลจ.ที่เป็นเครือข่ายของธนาคารนั้นๆ ครับ เช่น ธนาคาร AAA ก็จะมีขายกองทุนที่ออกโดย บลจ. AAA ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกัน หรือว่ามีความผูกพันกันอยู่ครับ

jumboslot

และกองทุนดีๆ ไม่ได้รวมกันอยู่ที่เดียว เช่น กองทุนหุ้นของธนาคารนี้น่าสนใจ แต่กองทุนตราสารหนี้ของอีกธนาคารทำผลตอบแทนได้ดี เราก็ควรที่จะไปซื้อกองทุนตราสารหนี้จากอีกธนาคารนึง ซึ่งจะเสียเวลาเยอะพอสมควรครับ และการที่จะติดตามพอร์ตการลงทุนก็เป็นไปได้ยากเช่นกันครับ

ซื้อกับ บล.และ บลน.หรือตัวแทนขายหน่วยลงทุน

ข้อดีคือ เนื่องจากว่า บล.และ บลน.นั้น เป็นตัวแทนขายที่ค่อนข้างจะมีกองทุนให้เลือกมากกว่าครับ คือ มีกองทุนดีๆ ของแต่ละ บลจ.มารวมกับไว้ในที่เดียว แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับว่า บล. หรือว่า บลน.นั้น ได้ตกลงกับ บลจ.ไว้กี่เจ้า ซึ่งถ้ามีกองทุนหลากหลายก็น่าสนใจ

slot

เนื่องจากว่า บล.และ บลน.นั้นจะมีการรวมผลตอบแทนจากกองทุน มีข้อมูลกองทุน รวมถึงบทวิเคราะห์เปรียบเทียบกองทุนได้อย่างกว้างขวางเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้ค่าธรรมเนียมก็ไม่ได้แพง

ไม่ได้เสียค่าธรรมเนียมในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด

ส่วนข้อสังเกตคือ คนที่ลงทุนกับ บล.อาจจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับการลงทุนโดยตรงกับทางธนาคาร หรือ บลจ.น่าจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเลือกที่ซื้อกองทุนมากขึ้นนะครับ ส่วนวันนี้ผมขอลาไปก่อน แล้วพบกันครั้งหน้า สวัสดีครับ

ทำไม SSF ถึงน่าซื้อในปีนี้

หนึ่งในตัวช่วยลดหย่อนภาษีที่น่าสนใจประจำปี 2564 คงหนีไม่พ้นกับกองทุน SSF หรือ กองทุนรวมเพื่อการออม ซึ่งถือว่า กองทุน SSF นี้เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกคน

jumbo jili

5 เทคนิคเลือกกองทุน SSF อย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง

โดยเงื่อนไขในการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีนั้น มีดังนี้

ผู้เสียภาษีสามารถซื้อกองทุนรวม SSF ได้สูงสุด 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี แต่เงินที่ซื้อสูงสุดต้องไม่เกิน 200,000 บาท
นอกจากนั้นเมื่อนำยอดซื้อกองทุนรวม SSF มารวมกับค่าลดหย่อนในกลุ่มเกษียณ ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) + กบข./กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน + กองทุนการออมแห่งชาติ + ประกันชีวิตแบบบำนาญ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาทอีกด้วย
หากซื้อ กองทุน SSF ในปีไหนจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนั้นทันที โดยไม่มีเงื่อนไขให้ซื้อติดต่อกันเหมือนกับ RMF
เมื่อซื้อแล้ว ต้องถือครองกองทุน SSF เป็นเวลา 10 ปี (เต็ม) นับตั้งแต่วันที่ซื้อกองทุน

สล็อต

ซึ่งถ้าหากใครปฎิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ และขายกองทุนหลังจากที่ครบกำหนดแล้ว กฎหมายยังยกเว้น กำไรที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ให้ไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย

อย่างที่บอกไปว่า กองทุน SSF มีหลายระดับความเสี่ยงให้เลือกลงทุนตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง และยังให้สิทธิ์ในการสับเปลี่ยนกองทุนได้ตลอด (การสับเปลี่ยนในกลุ่มกองทุน SSF ไม่ถือเป็นการขายและซื้อหน่วยลงทุนใหม่) หากไม่พอใจกับผลการดำเนินงานของบลจ. ที่ลงทุนอยู่ในปัจจุบัน

จะเห็นว่าเงื่อนไขของการลงทุนในกองทุน SSF นั้นเหมาะกับการถือครองในระยะยาว ซึ่งนอกจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว สิ่งที่ได้เพิ่มเติมจากการลงทุน คือ ผลตอบแทนนั่นเอง

อีกเหตุผลสำคัญที่ กองทุน SSF เป็นกองทุนที่น่าลงทุนในปีนี้ ก็เพราะว่ามันถูกออกแบบมาให้สำหรับคนที่เป้าหมายในระยะยาว (10 ปีขึ้นไป) โดยที่ไม่ไปรวมกับส่วนที่เป็นการลงทุนเพื่อการเกษียณอย่าง RMF เช่น กลุ่มเด็กจบใหม่ หรือ กลุ่มที่เริ่มทำงาน ที่ต้องการเก็บเงินตามเป้าหมายในระยะ 10 ปีขึ้นไป เพื่อรองรับอนาคตข้างหน้า หรืออาจจะเป็นกลุ่มที่ต้องการเก็บเงินแยกออกจากเงินเกษียณตามวัตถุประสงค์ด้านอื่นๆ เพราะข้อดีของกองทุน SSF คือ เราไม่จำเป็นต้องซื้อทุกปี แค่ซื้อแล้วต้องถือครองตามเวลาที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น

สล็อตออนไลน์

ข้อดีของกองทุน SSF และเทคนิคการเลือก กองทุน SSF ให้เหมาะสม

อย่างไรก็ดี นอกจากจะเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่ว่ามาแล้ว ยังมีเทคนิคเลือกกองทุน SSF ให้โดนใจแบบง่ายๆ มาฝากกันด้วย โดยใช้หลักการ 3 ข้อดังนี้

เป้าหมายการลงทุนกองทุน SSF ในระยะยาว

  1. ถามความต้องการของตัวเองก่อน นั่นคือ เป้าหมายในการลดหย่อนภาษี และ ลงทุนระยะยาว 10 ปีขึ้นไป พร้อมกับกระแสเงินสด (สภาพคล่อง) ในแต่ละปี ถ้าหากตอบคำถามตัวเองได้ว่า ในเมื่อเราเสียภาษี และมีเงินอยู่ พร้อมที่จะลงทุนตามเป้าหมายที่วางไว้ข้างหน้าอย่างน้อย 10 ปี กองทุน SSF นี้ก็อาจจะเป็นคำตอบที่น่าสนใจ

ประเมินผลตอบแทนและความเสี่ยงกองทุน SSF

jumboslot

  1. ประเมินผลตอบแทน ความเสี่ยง และสไตล์การลงทุนของกองทุนที่เหมาะกับเรา ทั้งเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น ทองคำ หรือ แบบผสมผสานการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมในแต่ละระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งถ้าหากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน พร้อมกับประเมินความเสี่ยงไว้ครบถ้วนแล้ว การเลือกสินทรัพย์ลงทุนก็จะยิ่งง่ายขึ้นไปอีก

ค่าธรรมเนียม เงินปันผล และผลตอบแทนของกองทุน SSF

slot

  1. พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียม เงินปันผล ผลตอบแทนที่ผ่านมา โดยปัจจัยในการพิจารณาอยู่ที่น้ำหนักของแต่ละคนที่ให้กับเรื่องนั้น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมเหมาะสมกับผลการดำเนินงานหรือไม่ เราอยากได้รับเงินปันผลเป็นกระแสเงินสดมาเรื่อย ๆ หรือไม่ (แต่ต้องแลกกับการเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%) ไปจนถึงผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เนื่องจากกองทุน SSF บางกองเป็นกองที่มีนโยบายการลงทุนเหมือนกับกองทุนเดิมของ บลจ. ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณาด้วยว่าเราให้น้ำหนักกับเรื่องไหนเป็นพิเศษหรือไม่

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวม

กองทุนรวม มักจะเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ที่นักลงทุนมือใหม่จะเลือกลงทุน เนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์การลงทุนมากนัก จึงไม่กล้าที่จะเลือกลงทุนในหุ้นเอง หรือไม่มีเวลาตามข่าวสารตลาด การที่มีผู้จัดการกองทุนนำเงินไปบริหารการลงทุนให้น่าจะดีกว่า แม้จะเป็นนักลงทุนมือใหม่ แต่มักจะเห็นว่าได้มีการศึกษาหาความรู้อยู่ตลอด ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวมขึ้นมา มาดูกันว่าคำถาม 10 อันดับแรกที่พบเจอบ่อยเป็นคำถามอะไรกันบ้าง

jumbo jili

อันดับ 10 ตอนเช้าตลาดหุ้นตกหนัก ซื้อเพิ่มเลยดีไหม

การคิดราคา หรือ NAV ของกองทุน จะใช้ราคาปิดของตลาดหุ้นในแต่ละวัน ดังนั้นการดูภาพรวมตลาดจะเหมาะกับนักลงทุนที่ซื้อกองทุนดัชนี หากตอนเช้าตลาดเป็นขาลง แต่ตอนตลาดปิดพลิกกลับมาเป็นขาขึ้น จะทำให้ราคา NAV ของวันนี้จะสูงขึ้นกว่าเมื่อวาน

อันดับ 9 ยิ่งกระจายความเสี่ยงยิ่งดี งั้นซื้อหลายๆ กองดีไหม

ถ้าเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนคล้ายๆ กัน เช่น กองทุนรวมหุ้น การถือหลายๆ กอง อาจจะเกิดการลงทุนทับซ้อนกันได้ เพราะจะมีการถือหุ้นตัวเดียวกัน แบบนี้จะไม่ช่วยในเรื่องการกระจายความเสี่ยง หากต้องการเน้นลงทุนในหุ้นเป็นหลัก การกระจายการลงทุนไปในหุ้นประเทศอื่นๆ อาจจะช่วยลดความผันผวนได้ เนื่องจากเศรษฐกิจของแต่ละประเทศจะไม่ขึ้นและลงพร้อมๆ กัน ทำให้สามารถรักษาผลตอบแทนของพอร์ตได้

อันดับ 8 ซื้อกองทุน Passive หรือ Active ดีกว่ากัน

การจะเลือกแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละท่าน กองทุน Passive จะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับตลาด สามารถรับความผันผวนได้บ้าง ส่วนกองทุน Active จะมีความผันผวนมากกว่า เนื่องจากจะมีโอกาสที่ผลตอบแทนจะสูงกว่าตลาดได้ แต่ก็มีโอกาสที่จะขาดทุนได้มากกว่าตลาดเช่นกัน ดังนั้นจึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง

สล็อต

อันดับ 7 ซื้อกองทุนวันปิดสมุดทะเบียนจะได้ปันผลไหม

วันปิดสมุดทะเบียน หรือ XD ย่อมาจาก Excluding Dividend ดังนั้นการซื้อวันปิดสมุดทะเบียน จะไม่ได้เงินปันผลแล้ว หากต้องการรับเงินปันผลในรอบนี้ นักลงทุนจะต้องซื้อก่อนวันปิดสมุดทะเบียน

อันดับ 6 ซื้อกองทุน IPO ดีไหม

การซื้อกองทุน IPO มีข้อดีตรงที่มีค่าธรรมเนียมตอนซื้อที่ต่ำกว่าช่วงหลัง IPO เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งค่าธรรมเนียมนั้นเป็นเพียงหนึ่งปัจจัยในการเลือกซื้อกองทุน ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก คือ นโยบายการลงทุน การกระจายความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ผ่านมา (กรณีเป็นกองทุนแบบ Feeder Fund) หากนักลงทุนยังไม่มั่นใจนัก อาจจะรอดูผลตอบแทนระยะสั้นประมาณ 3-6 เดือนก่อน เพื่อดูว่าเทียบกับ Benchmark แล้ว ทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงหรือดีกว่าไหม

อันดับ 5 ทำไมซื้อกองทุนแล้วได้ราคาไม่ตรงกับในเว็บ

สล็อตออนไลน์

ราคา หรือ NAV ที่แสดงในเว็บ จะเป็นราคาที่ไม่รวมค่าธรรมเนียมการซื้อขาย และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ของกองทุน ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้จะไม่ได้หักจากเงินลงทุนที่เราซื้อกองทุนไป แต่จะหักอยู่ในราคา NAV เลย ทำให้เวลาที่เราเข้าซื้อ จะขึ้นราคา NAV ที่แพงกว่า และเวลาขายออก จะขายได้ราคา NAV ที่ต่ำกว่า

คำถามยอดฮิตเพิ่มเติม : นอกจากคำถามว่าซื้อกองทุนแล้วได้ราคาไม่ตรงกับในเว็บเนื่องจากเรื่องค่าธรรมเนียมแล้ว หลายคนสงสัยว่า ซื้อกองทุนรวมวันนี้ จะได้ NAV วันไหน ในเมื่อ NAV ที่โชว์บนเว็บหรือในแอป ยังเป็น NAV เมื่อ 2-3 วันที่แล้วอยู่

คำตอบคือ จะได้รับ NAV ของวันที่ซื้อ (ก่อนเวลา cut-off time ของแต่ละกอง) ตัวอย่างเช่น ซื้อกองทุน xx วันที่ 26 ม.ค. 64 ก่อนเวลา cut-off time ก็จะได้ NAV กองทุนนั้นของวันที่ 26 ม.ค. 64 (หลังตลาดปิดแล้ว) อย่างไรก็ตาม การซื้อกองทุนรวมจะเป็นแบบ T+1 สำหรับกองในประเทศ และ T+2-3 สำหรับกองต่างประเทศ กล่าวคือ หลังจากซื้อกองทุนแล้ว ต้องรอประมาณ 2-3 วันทำการ NAV ถึงจะขึ้นโชว์บนพอร์ต (ถ้าซื้อ 26 ม.ค. Nav จะขึ้นโชว์บนพอร์ตเราประมาณ 28-29 ม.ค. เป็นต้น)

อันดับ 4 กองทุนปันผลกับไม่ปันผลแบบไหนดีกว่า

กองทุนปันผลจะเหมาะกับนักลงทุนต้องการกระแสเงินสดกลับมาใช้ในชีวิตประจำวัน และไม่ได้ต้องการกำไรจากส่วนต่างของราคามากนัก หากนักลงทุนต้องการกำไรจากส่วนต่างของราคา กองทุนปันผลอาจจะไม่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากเมื่อมีการจ่ายปันผลออกมา ราคา NAV ของกองทุนจะลดลง ทำให้ราคา NAV ของกองทุนปันผลนั้นไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

jumboslot

อันดับ 3 กองทุนที่ถืออยู่ขาดทุนทำอย่างไรดี

ส่วนใหญ่ก่อนที่นักลงทุนจะตัดสินใจซื้อกองทุน มักจะซื้อเพราะต้องการลงทุนในระยะยาว แต่เมื่อขาดทุนจะความกังวลใจ ดังนั้นอยากให้ย้อนกลับไปตอนที่ตัดสินใจซื้อ ว่าซื้อเพราะอะไร เมื่อขาดทุนแล้วกองทุนนี้ยังตอบโจทย์เป้าหมายในตอนแรกอยู่ไหม ถ้าพื้นฐานยังดีอยู่ จะเป็นช่วงที่เหมาะสมในการซื้อเพิ่ม แต่หากไม่ดีแล้วก็คงต้องจากลากันไป เลือกกองใหม่ที่ตอบโจทย์เป้าหมายดีกว่า

อันดับ 2 DCA วันไหนดี

การลงทุนแบบ DCA หรือ Dollar Cost Average เป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือน ด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กัน นักลงทุนหลายๆ ท่านจะอยากเลือกวันที่ได้ราคาต่ำที่สุด แต่จริงๆ การลงทุนแบบ DCA นั้นเหมาะกับการลงทุนในระยะยาว ดังนั้นควรเลือกวันที่เราสะดวกที่สุดดีกว่า เช่น เลือก DCA วันที่เงินเดือนออก จะได้เป็นการออมก่อนใช้ไปในตัว เนื่องจากราคา NAV ในหนึ่งเดือนไม่ได้มีความผันผวนมากเกินไป

slot

อันดับ 1 กองทุนไหนดี

คำถามยอดฮิตอันดับ 1 เชื่อว่าผู้อ่านเองคงจะเคยเป็นฝ่ายถาม หรือ โดนถามมาบ้าง เป็นคำถามที่ตอบยากจริงๆ เพราะยังไม่ทราบว่าผู้ถามมีเป้าหมายการลงทุนอะไร ระยะเวลาการลงทุนนานเท่าไหร่ รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน กองทุนที่ดีของคนหนึ่ง อาจจะไม่ดีต่ออีกคนก็ได้ เนื่องจากการมีเป้าหมายที่ต่างกัน ระยะการลงทุนและการยอมรับความเสี่ยงที่ต่างกัน ส่งผลต่อการเลือกกองทุนทั้งหมด ดังนั้นหากผู้ถามให้แนบคำตอบเหล่านี้มาด้วย จะทำให้ตอบได้ง่ายขึ้นค่ะ

จบไปแล้วสำหรับ 10 อันดับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวม จะเห็นว่าหลักสำคัญของการลงทุนนั้น นักลงทุนควรจะเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยง เมื่อเกิดผลขาดทุนจะได้ไม่มีอาการกังวลใจเกินไป หรือ สามารถสับเปลี่ยนกองทุนใหม่ได้

ไขข้อข้องใจกับวิธีการขายกองทุนรวม

สำหรับนักลงทุนรายใหม่ไฟแรงที่เพิ่งเริ่มลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” โดยให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์มากกว่าเราช่วยบริหารจัดการเงินให้ แต่พอถึงเวลาอยากจะขายกองทุนรวมหรือถอนเงินออกจากกองทุนรวม ก็ดันไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง พี่ทุยอยากจะบอกว่าวิธีการมันง่ายมาก ๆ เลยล่ะ ตามพี่ทุยมาติด ๆ เลย

jumbo jili

วิธีแรกในการขาย “กองทุนรวม”
ง่ายที่สุด คือ เดินเข้าไปที่ธนาคารที่เราซื้อกองทุนมาหรือไปที่บลจ.ที่เราต้องการขายกองทุนพร้อมกับสมุดบัญชีกองทุน แค่บอกเจ้าหน้าที่ว่าต้องการขายกองทุน เจ้าหน้าที่ก็จะเอาเอกสารมาให้เรากรอกและดำเนินการให้ วิธีง่ายที่สุดแต่อาจจะเสียเวลาเดินทางบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าสาขาธนาคารอยู่ใกล้ ๆ ก็จัดการโล้ด

สล็อต

วิธีที่สองในการขาย “กองทุนรวม”
เราสามารถทำได้ด้วยตนเอง คือ ขั้นแรก เข้าไปที่เว็บไซต์ของ บลจ. ที่เราต้องการจะขายกองทุน แล้วดาวน์โหลดแบบฟอร์ม “คำสั่งขายคืนหน่วยลงทุน” ปริ้นท์เอกสารออกมา เซ็นต์ชื่อ แล้วส่งเอกสารไปให้บลจ. ทำรายการ ตรงแบบฟอร์มขายคืนที่กรอกต้องระบุวันที่ที่เราต้องการขายกองทุนด้วย แต่ข้อควรระวังก็คือ เราจะต้องดูก่อนว่ากองทุนรวมที่เราจะขาย เปิดให้ขายได้ถึงกี่โมง หากเราส่งไม่ทันวันที่เราต้องการขายทาง บลจ.จะทำการขายให้ในวันถัดไป

สล็อตออนไลน์

นอกจากเรื่องระยะเวลาในการทำรายการแล้ว เรายังต้องดูจำนวนเงินขั้นต่ำที่เราต้องคงไว้ในบัญชีกองทุนที่เราซื้อด้วย ในกรณีที่เราอยากขายกองทุนออกมาบางส่วน แต่ถ้าเราจะขายทั้งหมดอยู่แล้วเราก็แค่กรอกจำนวนหน่วยลงทุนที่มีทั้งหมดในช่องจำนวนที่ต้องการขายคืน และเรื่องสุดท้ายที่เราสามารถอ่านได้จากหนังสือชี้ชวนก็คือ ระยะเวลาที่เราจะได้รับเงินจากกองทุนคืนหลังส่งคำสั่งขาย อาจจะเป็น 1 วัน 3 วัน 5 วัน ซึ่งจะแตกต่างออกไปในแต่ละกองทุน โดยปกติการคืนเงินจะมี 2 วิธี คือ

jumboslot

  1. โอนเข้าบัญชีที่เราผูกไว้ตอนสมัครซื้อกองทุน พี่ทุยแนะนำวิธีนี้เพราะง่ายที่สุด เงินเข้าที่เราตรง ๆ เลย
  2. คืนเป็นเช็ค โดยจะได้รับจากทางไปรษณีย์ วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมมากเท่าไหร่ แต่บางคนก็ชอบวิธีนี้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน

เราสามารถเลือกวิธีการรับเงินคืนได้ ตอนที่เราเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวมนั่นแหละ แต่แน่นอนว่าถ้าเราอยากเปลี่ยนวิธีการรับเงินคืนก็สามารถแก้ไขตามที่เราต้องการได้เลยนะ

slot

เท่านี้เราก็สามารถขายกองทุนและได้เงินคืนกลับมาได้แล้ว พี่ทุยจะบอกว่าไม่ได้ยากเลยง่ายมาก ๆ

แต่เดี๋ยวนี้หลายๆ บลจ. ก็เปิดให้ซื้อขายกองทุนรวมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตหรือ แอปพลิเคชั่นในมือถือได้เลย ไม่จำเป็นต้องส่งเอกสาร พี่ทุยว่าวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็วเหมาะกับคนยุคใหม่แบบเรา ๆ ที่สุดเลยล่ะ

ถ้าให้อ่านบทความของพี่ทุยแต่ไม่ได้ลองทำจริงก็คงไม่รู้ว่าง่ายขนาดไหน อย่าลืมไปลองซื้อขายกองทุนด้วยตัวเอง เพื่อที่เราจะได้กลายเป็นนักลงทุนมืออาชีพในอนาคตยังไงล่ะ

เงื่อนไขการซื้อRMF

ช่วงสิ้นปีทีไร พี่ทุยบอกได้เลยว่าเรื่องที่ถูกถามเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีมากที่สุด ก็คือ เรื่อง “เงื่อนไขการซื้อ RMF” หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ กองทุนรวมเพื่อนการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund) เอาจริง ๆ พี่ทุยก็รู้สึกดีใจไม่น้อยนะที่คนเริ่มสนใจใช้ในการลดหย่อนภาษีกันมากขึ้น เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้เราเก็บเงินได้ดีขึ้น

jumbo jili

สำหรับ “เงื่อนไขการซื้อ RMF” ที่ทุกคนชอบสอบถามกัน พี่ทุยได้รวบรวมคำถามที่สอบถามมากันมาก มีดังนี้

  1. RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี และเมื่อนับรวมกับ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ประกันแบบบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วห้ามเกิน 500,000 บาท
    ถ้าเรารายได้ 500,000 บาทต่อปี เราก็จะซื้อได้ 150,000 บาทต่อปีเท่านั้น แต่ว่าเราต้องระวังอีกเงื่อนไขด้วยก็คือ ถ้าเราไปนับรวมกับ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ประกันแบบบำนาญกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) แล้ว ห้ามเกิน 500,000 บาทเด็ดขาด
  2. RMF ปรับเกณฑ์ใหม่ ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ
    เงื่อนไขของปีก่อนๆ จะมีขั้นต่ำที่ 5,000 บาท หรือ ถ้า 3% ของรายได้ต่อปีนั้น ๆ น้อยกว่า 5,000 บาทก็ซื้อแค่ 3% แต่ปีนี้ปรับเกณฑ์ใหม่ ใจดีขึ้น ไม่ต้องมีขั้นต่ำในการซื้อแล้ว สามารถซื้อได้ตามขั้นต่ำของกองทุนเลย แต่มีเงื่อนไขเดิมที่ติดมาคือ ถ้าซื้อแล้ว ก็ต้องซื้อต่อเนื่องปีเว้นปีนะ ปีที่ไม่มีรายได้ก็ไม่ต้องซื้อ แต่ปีถัดมาต้องกลับมาซื้อเพื่อให้ไม่ผิดเงื่อนไขของ RMF

สล็อต

  1. จะขายคืนได้ต่อเมื่อเราอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องถือมาอย่างน้อย 5 ปีเท่านั้น
    เงื่อนไขที่เราจะขายได้นั้นต้องประกอบไปด้วย 2 เงื่อนไขหลักก็คือ อายุต้องครบ 55 ปีบริบูรณ์ อารมณ์จัดงานวันเกิดเป่าเค้กแบบวันชนวันเลย แล้วอีกเงื่อนไขก็คือต้องถือมาอย่างน้อย 5 ปีบริบูรณ์

แต่ความพิเศษจะอยู่ที่ว่า สมมติตอนนี้เราอายุ 50 ปี แล้วเราซื้อมาทุกปีติดต่อกันสมมติปีละ 100,000 บาท แล้วพอเราอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้ว เราก็จะถือมา 5 ปีเป๊ะ ๆ เราสามารถขายที่เราทยอยซื้อได้ทั้งหมด แม้ว่าตอนเราอายุ 54 ปีที่เราเพิ่งซื้อมา 100,000 บาทนั้นถือมาแค่ 1 ปีเท่านั้น ไม่เหมือนกับ SSF ที่นับแยกก้อนที่เราซื้อตามปีเลย

  1. ห้ามผิดเงื่อนไข
    การผิดเงื่อนไข พี่ทุยขอไม่พูดถึงว่าโทษมีค่าปรับอะไรยังไงบ้าง แต่พี่ทุยบอกได้เลยว่าเยอะมาก ๆ ไม่ควรผิดเงื่อนไขไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม พี่ทุยเชื่อว่าถ้าเรามีการวางแผนการเงินที่ดี เราไม่มีความจำเป็นต้องไปแตะต้องมันเลยอย่างแน่นอน

สล็อตออนไลน์

สำหรับใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับการซื้อขาย RMF สามารถไปแจ้งเรื่องร้องเรียนกับทางกรมสรรพากร ได้เลย ที่นี่

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มัลติ อินคัมพลัส (SCB Multi Income Plus Fund – SCBMPLUS)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: เน้นลงทุนตราสารหนี้ของไทย, ตราสารหนี้ต่างประเทศ, REIT และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
    ระดับความเสี่ยง: ปานกลาง
    Morningstar: 4 ดาว

SCBMPLUS เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
สำหรับ SCBMPLUS เนี้ยจะมีความคล้ายคลึงกับ SCBPLUS แต่จะแตกต่างตรงที่ SCBMPLUS สามารถขายได้ทุกเดือน เลยทำให้ SCBMPLUS มีสภาพคล่องที่สูงกว่า แต่แน่นอนว่าผลตอบแทนโดยรวมของ SCBMPLUS จะมีแนวโน้มที่ได้ต่ำกว่า SCBPLUS เนื่องจากผู้จัดการกองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีระยะเวลาได้สั้นมากกว่านั่นเอง

jumboslot

พี่ทุยอยากจะสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า ถ้าใครชอบ SCBPLUS แต่อยากให้ขายได้บ่อย ๆ หน่อยก็มาทาง SCBMPLUS ได้เลย ตอบโจทย์แน่นอน!

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นทุนปันผล (SCB Dividend Stock Open End Fund – SCBDV)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้นไทย
    ระดับความเสี่ยง: สูง
    Morningstar: 4 ดาว

slot


SCBDV เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
สำหรับ SCBDV ก็เหมาะกับคนที่เป็นพันธุ์แท้หุ้นไทยเหมือนกับ SCBSE ที่พี่ทุยบอกไปก่อนหน้านี้ แต่ SCBDV เค้าจะเน้นลงทุนหุ้นไทยที่มีการเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อโอกาสในการสร้างกระแสเงินสดตลอดการลงทุน เนื่องจาก SCBDV จะมีนโยบายการจ่ายปันผล

นอกจากนี้ SCBDV ก็ยังได้รับรางวัล “กองทุนตราสารทุนยอดเยี่ยม ปี 2020 ประเภทกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Equity Large Cap)” โดย Morningstar อีกด้วยนะ

เรียกได้ว่าใครที่อยากได้เงินปันผลเรื่อย ๆ พี่ทุยว่าก็ต้อง SCBDV นี่แหละ ได้รางวัลมาการันตีซะขนาดนี้!

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (ชนิดจ่ายเงินปันผล)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้นสหรัฐอเมริกา
    ระดับความเสี่ยง: สูง
    Morningstar: 4 ดาว

กองทุนติดดาว

ลองนึกเวลาที่เราไปกินอาหารแล้วเราไม่แน่ใจว่าร้านนี้อร่อยมั้ย เราก็จะมองหาเครื่องหมายการันตีความอร่อยอย่าง
“มิชลิน สตาร์ (Michelin Star)” ที่เป็นเครื่องหมายรับรองความอร่อยระดับโลก แต่ในโลกของการลงทุนนั้นถ้าเราอยากดูว่า กองทุนไหนดีหรือไม่ เก่งหรือเปล่า เราสามารถดูได้จาก “Morningstar” ที่ช่วยการันตีความยอดเยี่ยมของกองทุนได้เป็นอย่างดี

jumbo jili

โดยจะมีการแบ่งเกรดตั้งแต่ 1-5 ดาว ยิ่งได้ดาวเยอะ ก็แปลว่ากองทุนรวมนั้นเป็นกองทุนที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับกองทุนที่ได้รับ 4-5 ดาว จาก Morningstar ก็ถือว่าเป็นกองทุนที่ชั้นนำที่เราสามารถเลือกลงทุนได้อย่างสบายอกสบายใจ

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

สำหรับใครที่กำลังมองหา “กองทุนติดดาว” จาก Morningstar เพราะจะทำให้เราสามารถเลือกลงทุนได้แบบสบายใจ พี่ทุยขอแนะนำกองทุนรวมจาก บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) ที่การันตีคุณภาพฝีมือด้วยกองทุนชั้นนำติดดาวมากมาย วันนี้พี่ทุยเลยเลือกกองทุนที่แจ่ม ๆ เด็ด ๆ ชี้เป้ามาให้เลือกลงทุนกันถึง 6 กองทุนเลย

เริ่มต้นกันที่..

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ อินคัมพลัส (SCB Income Plus Fund – SCBPLUS)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: เน้นลงทุนตราสารหนี้ของไทย, ตราสารหนี้ต่างประเทศ, REIT และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
    ระดับความเสี่ยง: ปานกลาง
    Morningstar: 5 ดาว

สล็อต

SCBPLUS เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
พี่ทุยมองว่า SCBPLUS เหมาะกับคนที่ต้องการรายได้อย่างต่อเนื่องและต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น เน้นลงทุนระยะยาวมากขึ้นจาก SCBFP

เนื่องจาก SCBPLUS สามารถซื้อได้ทุกวันทำการ แต่จะขายออกได้ทุก 3 เดือน เนื่องจากตลาดตราสารหนี้มีสภาพคล่องที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นที่เราคุ้นเคย เหตุผลที่ SCBPLUS ต้องกำหนดระยะเวลาขายได้ทุก 3 เดือนก็เพราะจะช่วยทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถลงทุนสินทรัพย์ที่มีระยะยาวมากขึ้นได้ ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตกองทุนได้สูงขึ้น ซึ่งในภาพรวมจะเป็นผลดีกับผู้ลงทุนมากที่สุด

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCB Selects Equity Fund – SCBSE)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้นไทย
    ระดับความเสี่ยง: สูง
    Morningstar: 5 ดาว

SCBSE เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
สำหรับใครที่เป็นแฟนพันธุ์ไทยหุ้นไทย พี่ทุยว่า SCBSE นี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว เนื่องจากจะเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ไม่เกิน 30 ตัว ที่ได้รับการคัดสรรหุ้นชั้นดี โดยทีมผู้จัดการกองทุนระดับมืออาชีพ และที่สำคัญต้องเข้าซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม เพื่อสร้างโอกาสกำไรให้สูงมากยิ่งขึ้น

สล็อตออนไลน์

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ พลัส (SCB Fixed Income Plus Fund – SCBFP)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: ตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    ระดับความเสี่ยง: ต่ำ
    Morningstar: 4 ดาว

SCBFP เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
SCBFP เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าการฝากธนาคาร แต่ยังคงต้องการสภาพคล่องที่สูง ซึ่ง SCBFP นั้นสามารถขายวันนี้ได้เงินพรุ่งนี้เลยทันที (T+1) ถือว่ามีสภาพคล่องที่ใกล้เคียงกับการฝากธนาคาร สำหรับใครที่กำลังมองหาแหล่งเก็บเงินสำรองฉุกเฉินหรือแหล่งเก็บเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พี่ทุยแนะนำว่าสามารถเลือกใช้ SCBFP ได้เลย

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

jumboslot

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มัลติ อินคัมพลัส (SCB Multi Income Plus Fund – SCBMPLUS)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: เน้นลงทุนตราสารหนี้ของไทย, ตราสารหนี้ต่างประเทศ, REIT และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
    ระดับความเสี่ยง: ปานกลาง
    Morningstar: 4 ดาว

SCBMPLUS เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
สำหรับ SCBMPLUS เนี้ยจะมีความคล้ายคลึงกับ SCBPLUS แต่จะแตกต่างตรงที่ SCBMPLUS สามารถขายได้ทุกเดือน เลยทำให้ SCBMPLUS มีสภาพคล่องที่สูงกว่า แต่แน่นอนว่าผลตอบแทนโดยรวมของ SCBMPLUS จะมีแนวโน้มที่ได้ต่ำกว่า SCBPLUS เนื่องจากผู้จัดการกองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีระยะเวลาได้สั้นมากกว่านั่นเอง

พี่ทุยอยากจะสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า ถ้าใครชอบ SCBPLUS แต่อยากให้ขายได้บ่อย ๆ หน่อยก็มาทาง SCBMPLUS ได้เลย ตอบโจทย์แน่นอน!

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นทุนปันผล (SCB Dividend Stock Open End Fund – SCBDV)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้นไทย
    ระดับความเสี่ยง: สูง
    Morningstar: 4 ดาว

slot

SCBDV เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
สำหรับ SCBDV ก็เหมาะกับคนที่เป็นพันธุ์แท้หุ้นไทยเหมือนกับ SCBSE ที่พี่ทุยบอกไปก่อนหน้านี้ แต่ SCBDV เค้าจะเน้นลงทุนหุ้นไทยที่มีการเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อโอกาสในการสร้างกระแสเงินสดตลอดการลงทุน เนื่องจาก SCBDV จะมีนโยบายการจ่ายปันผล

นอกจากนี้ SCBDV ก็ยังได้รับรางวัล “กองทุนตราสารทุนยอดเยี่ยม ปี 2020 ประเภทกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Equity Large Cap)” โดย Morningstar อีกด้วยนะ

เรียกได้ว่าใครที่อยากได้เงินปันผลเรื่อย ๆ พี่ทุยว่าก็ต้อง SCBDV นี่แหละ ได้รางวัลมาการันตีซะขนาดนี้!

ชี้เป้า 6 “กองทุนติดดาว” จาก บลจ. ไทยพาณิชย์

  1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (ชนิดจ่ายเงินปันผล)
    สินทรัพย์ที่ลงทุน: หุ้นสหรัฐอเมริกา
    ระดับความเสี่ยง: สูง
    Morningstar: 4 ดาว

SCBS&P500 เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
SCBS&P500 เหมาะสำหรับคนที่อยากจะกระจายการลงทุนไปยังในหุ้นสหรัฐอเมริกาเพื่อหาโอกาสในการสร้างตอบแทนที่มากขึ้น ซึ่งเวลาที่เราไปลงทุนในต่างประเทศเรามักจะกังวลถึงความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลที่น้อยกว่าการลงทุนในหุ้นไทย

สำหรับใครกำลังกังวลเรื่องนี้ พี่ทุยจะบอกว่าหายห่วงได้เลย เพราะ SCBS&P500 มีวิธีการลงทุนแบบ Passive หรือการลงทุนแบบลอกเลียนตลาดเพื่อให้มีผลตอบแทนที่เหมือนตลาดมากที่สุด หมดห่วงเรื่องความกังวลที่จะเข้าหุ้นผิดตัวไปได้เลย ความน่าสนใจของ S&P500 ก็คือ เป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 500 ตัวของอเมริกา มีหุ้นที่เรารู้จักกันดีรวมอยู่ด้วย เช่น Apple, Microsoft, Facebook และยังครอบคลุมไปในหลายอุตสาหกรรมด้วยนะ

จัดอันดับประเภทของกองทุน

ตอนนี้พี่ทุยว่าทุกคนน่าจะรู้จักกองทุนรวมกันเป็นอย่างดีแล้ว แต่ถ้าใครมีโอกาสได้ไปดูรายชื่อกองทุนรวมในประเทศทั้งหมด มีเป็นพันกองทุน จะเห็นได้ว่ามี “ประเภทของกองทุน” มากมาย ดังนั้นก่อนที่เราจะลงทุนกองทุนรวม อย่างน้อยเราน่าจะหามีดมาแบ่งหรือตะแกรงมาร่อนซะก่อน

jumbo jili

เพื่อที่จะได้ให้เหลือแต่จำนวนกองทุนรวมที่น่าสนใจและเหมาะกับเรา เพราะลองคิดดูว่า ถ้านั่งจิ้มจากพันกองทุนพี่ทุยว่าเหนื่อยแย่เลย แต่ถ้าเลือกจาก 50 กองทุน พี่ทุยว่าก็น่าจะช่วยให้เราเลือกง่ายขึ้นนะ

สิ่งที่เราควรรู้ในการเลือกลงทุนในกองทุนรวมนั่นก็คือ…

“ประเภทของกองทุน” มีทั้งหมดกี่ประเภท ?
ถ้าเราแบ่งตามแบบฉบับประเทศไทย ก็จะแบ่งกองทุนรวมออกเป็นทั้งหมด 8 ประเภท ตามลำดับความเสี่ยงจากน้อยไปหามาก

ความเสี่ยงระดับที่ 1 : กองทุนรวมตลาดเงินในประเทศ
กองทุนประเภทนี้จะลงทุนในตลาดเงิน เป็นการกู้เงินระยะสั้นของสถาบันต่าง ๆ โดยทั่วไปตราสารหนี้พวกนี้อายุจะไม่เกิน 1 ปี ทำให้ความเสี่ยงต่ำมาก เพราะให้สถาบันต่าง ๆ กู้เงิน เช่น ธนาคาร รัฐบาล เป็นต้น ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อมั่นและมั่นคงสูงอยู่แล้ว

สล็อต

แต่พี่ทุยเตือนไว้ก่อนว่า ต่อให้มีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม ได้ชื่อว่าการลงทุนยังไงก็มีความเสี่ยง ดังนั้นอย่าลืมศึกษาให้ดีก่อนการลงทุนเสมอ

ความเสี่ยงระดับที่ 2 : กองทุนรวมตลาดเงินต่างประเทศ
อันนี้จะเหมือนกับประเภทที่ 1 แต่อาจจะมีบางส่วนลงทุนในต่างประเทศได้ ตรงนี้ก็อาจจะทำให้มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาด้วย แต่กองทุนรวมประเภทนี้ ส่วนใหญ่ก็จะทำการลดความเสี่ยงค่าเงินไว้อยู่แล้ว

ความเสี่ยงระดับที่ 3 : กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาล
กองทุนนี้จะไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ง่าย ๆ ก็คือ ให้รัฐบาลกู้นั่นแหละ แต่จะเป็นระยะที่ยาวขึ้น ส่วนใหญ่จะมากกว่า 1 ปีขึ้นไป แล้วก็จะมีความผันผวนเรื่องราคามากกว่าพวกกองทุนรวมตลาดเงิน

ความเสี่ยงระดับที่ 4 : กองทุนรวมตราสารหนี้
จะแตกต่างจากระดับที่ 3 ตรงที่ว่า กองทุนรวมจะไปลงทุนตราสารหนี้ที่เป็นของเอกชน หรือที่เราเรียกตราสารหนี้พวกนี้ว่า “หุ้นกู้” นั้นเอง

สล็อตออนไลน์

ความเสี่ยงระดับที่ 5 : กองทุนรวมผสม
เป็นกองทุนที่ลงทุนผสม ระหว่างตราสารหนี้และตราสารทุน (หุ้น) ซึ่งสัดส่วนการลงทุนว่าจะลงทุนอะไรเท่าไหร่บ้างก็ต้องไปดู “นโยบายการลงทุน” ของกองทุนอีกครั้งนึง

ความเสี่ยงระดับที่ 6 : กองทุนรวมตราสารทุน
ลงทุนหุ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พี่ทุยว่ากองทุนรวมความเสี่ยงระดับที่ 6 เนี้ยแหละน่าจะเป็นกองทุนที่คุ้นหูที่สุดแล้ว เพราะว่าพวก LTF ที่เราซื้อกันเมื่อก่อน รวมถึง SSF และ SSFX ที่ออกมาในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็มีความเสี่ยงระดับ 6

ความเสี่ยงระดับที่ 7 : กองทุนรวมตามหมวดอุตสาหกรรม
สำหรับกองทุนนี้จะลงทุนในหุ้นเนี่ยแหละ แต่เป็นหุ้นที่จงเจาะอุตสาหกรรม เช่น เน้นลงทุนกลุ่มโรงพยาบาล หรือเฉพาะกลุ่มพลังงาน เป็นต้น กองทุนรวมประเภทนี้ต้องอาศัยความเข้าใจในอุตสาหกรรมนั้นมากเป็นพิเศษ ที่ถูกจัดอยู่ในระดับที่ 7 ก็เพราะว่าจะใช้ความรู้มากกว่าระดับที่ 6 นั่นเอง

jumboslot

ความเสี่ยงระดับที่ 8 : กองทุนรวมทางเลือก
กองทุนสุดท้ายนี้ ต้องใช้ความเข้าใจค่อนข้างเยอะและเฉพาะทางมากกว่าระดับที่ 7 ขึ้นไปอีก จะเป็นการลงทุนในตลาดทางเลือกต่าง ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงพวกโครงสร้างพื้นฐาน น้ำมัน ทองคำ ฯลฯ

สุดท้ายก็ไม่ได้หมายความว่ากองทุนระดับที่ 8 จะลงทุนไม่ได้เลย บางครั้งถ้าเรามีความเข้าใจและใช้เครื่องมือการลงทุนอย่างถูกต้อง การลงทุนในกองทุนความเสี่ยงระดับที่ 8 หลาย ๆ ครั้งก็ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ระดับ 4-7 ซะอีก ที่สำคัญบางช่วงเวลาก็ยังเสี่ยงต่ำกว่าด้วย

slot


เราอาจจะลองประเมินความเสี่ยงของเงินลงทุนของเราว่า เงินก้อนที่เราจะลงทุนรับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าเอาแบบทั่ว ๆ ไปก็ใช้กองทุนรวมความเสี่ยงระดับ 1 ถึง 6 ก็โอเคแล้วล่ะ ระดับ 7-8 เอาไว้เราเก่งแล้วค่อยเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมก็ยังได้

แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าเงินลงทุนก้อนนี้เรารับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหน ส่วนตัวพี่ทุยมักจะใช้ “ระยะเวลา” เป็นตัวแยกอันแรกๆเสมอ ถ้าเราลงทุนได้นาน เช่น 5 ปีขึ้นไป เราก็สามารถลงทุนกองทุนระดับความเสี่ยง 5-6 ได้แล้วล่ะ แต่ถ้าเงินลงทุนเราเป็นเงินหมุนเร็ว ๆ สั้น ๆ แบบ 3-6 เดือน พี่ทุยก็แนะนำว่าให้กองทุนระดับความเสี่ยง 1-2 ก็พอแล้ว เพราะระยะสั้นเราเน้นภาพคล่อง ไม่ได้เน้นผลตอบแทนเป็นหลักนั่นเอง

วิธีการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง

เวลาที่นักลงทุนมือใหม่เริ่มต้นลงทุน พี่ทุยแนะนำให้เริ่มต้นที่การตั้งเป้าหมายทางการเงินก่อนเสมอ เราจะได้รู้ว่าเงินลงทุนในแต่ละก้อนเราสามารถลงทุนได้ยาวแค่ไหน ซึ่ง “ระยะเวลา” ถือว่าเป็นตัวแบ่งตัวหนึ่งที่มีประสิทธิภาพมาก ก่อนอื่นเลยพี่ทุยแนะนำว่าสำหรับการลงทุนให้ได้ “ผลตอบแทนสูง” 8-10% ต่อปีขึ้นไป จะต้องเป็นเป้าหมายการลงทุนระยะยาวอย่างการเกษียณอายุ หรือ แผนการศึกษาบุตร เท่านั้น

jumbo jili

เหตุผลก็เพราะว่า “ผลตอบแทนสูง” ที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ ขนาดฝากธนาคารยังมีความเสี่ยงเลย ซึ่งความเสี่ยงที่ว่านี้ คือ โอกาสที่ผลตอบแทนที่เราต้องการไม่เป็นไปอย่างที่คิด หรือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือ เราจะขาดทุน ซึ่งโอกาสขาดทุนก็มีตั้งแต่ 0.1% ไปจนถึงสูญเงินทั้งก้อนนั่นแหละ เช่น ถ้าเราไปปล่อยกู้นอกระบบดอกเบี้ย 3% ต่อเดือน แน่นอนว่าผลตอบแทนดี ปีนึงมากกว่า 36% แต่โอกาสขาดทุนเงินทั้งหมดก็มีอยู่เหตุผลเดียว คือ ลูกหนี้ไม่เอาเงินมาคืน!

ไม่มีการลงทุนใดในโลกไม่มีความเสี่ยง ยิ่งต้องการ “ผลตอบแทนสูง” ขึ้น ย่อมมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ถ้าใครมาชวนลงทุนแล้วบอกว่ามีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนเท่านั้นเท่านี้ โดยผลตอบแทนมีการการันตีต่าง ๆ นานา ว่าให้มากกว่าการฝากธนาคาร พึงระลึกไว้เลยว่า มี ความเสี่ยงทั้งนั้น เพราะไม่มีการลงทุนที่ไหนในโลกไม่มีความเสี่ยง ขนาดการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 8-10% ในบทความนี้ที่พี่ทุยบอกก็ยังมีความเสี่ยง

ยิ่งในระยะสั้น ก็จะมีความเสี่ยงสูงมาก นั่นหมายความว่า ถ้าเราลงทุนได้นานเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็จะยิ่งลดลง พี่ทุยเลยแนะนำก่อนว่าให้เน้นลงทุนกับเป้าหมายที่เป็นระยะยาวเท่านั้น ถ้าถามพี่ทุยว่าการลงทุนอะไรที่ในผลตอบแทนมากกว่า 8% ได้บ้าง พี่ทุยขอตอบเลยว่า หุ้น และ อสังหาริมทรัพย์ เป็นหลัก และเหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่

สล็อต


สำหรับมือใหม่พี่ทุยอาจจะไม่แนะนำไปถึงการลงทุนพวกตราสารอนุพันธ์ต่าง ๆ นะ ถึงแม้ว่าผลตอบแทนจะสูงมาก แต่ความเสี่ยงที่จะขาดทุนเกิน 100% ก็สูงมากเช่นกัน ใครที่เล่นอยู่ก็น่าจะพอเข้าใจ

สำหรับบางคนที่เงินทุนยังไม่เยอะมาก แล้วจะไปให้ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ก็คงดูเป็นเรื่องไกลตัว พี่ทุยก็เลยแนะนำไปที่ “หุ้น” ซะเป็นส่วนใหญ่ พี่ทุยขอพาไปดู “ตลาดหุ้นไทย” หรือที่คุ้นชื่อว่า SET เนี้ยแหละ เปิดตลาดมาตั้งแต่ปี 2518 ปัจจุบันก็ปี 2563 เรียกได้ว่าเปิดมาเกือบ ๆ 45 ปีแล้ว แน่นอนว่าก็มีคนที่รวยจากผลตอบแทนของตลาดหุ้นก็เยอะแ ต่พี่ทุยว่าคนที่เจ๊งจากตลาดหุ้นเยอะกว่านะ (ฮ่า)

ก่อนอื่นเลยพี่ทุยขอย้อนไปปี 2545 ดัชนีของตลาดบ้านเราที่รวมเงินปันผลด้วย (SET TRI) ถือกำหนดขึ้นมาด้วยค่าเริ่มต้นที่ 1,000 จุด ไปจนถึงสิ้นปีที่ผ่านมาก็คือสิ้นสุดปี 2562 โดยแต่ละปีให้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามนี้เลย

ผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลังของตลาดหลักทรัพย์ (SET)
ปี 2545 เท่ากับ 20.27%
ปี 2546 เท่ากับ 126.35%
ปี 2547 เท่ากับ -10.64%
ปี 2548 เท่ากับ 11.22%
ปี 2549 เท่ากับ -0.26%
ปี 2550 เท่ากับ 31.37%
ปี 2551 เท่ากับ -46.57%
ปี 2552 เท่ากับ 76.08%
ปี 2553 เท่ากับ 47.80%
ปี 2554 เท่ากับ 3.69%
ปี 2555 เท่ากับ 40.53%
ปี 2556 เท่ากับ -3.63%
ปี 2557 เท่ากับ 19.12%
ปี 2558 เท่ากับ -11.23%
ปี 2559 เท่ากับ 23.85%
ปี 2560 เท่ากับ 17.30%
ปี 2561 เท่ากับ -8.08%
ปี 2562 เท่ากับ 4.29%
ปี 2563 เท่ากับ -5.53%

สล็อตออนไลน์

ถ้าเอาผลตอบแทนเฉลี่ยแบบเลขคณิตมาคิดเลยก็เท่ากับ 18.97% ต่อปี แต่ถ้าจะดูผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวจริง ๆ พี่ทุยแนะนำว่าให้ใช้ “เรขาคณิต” จะตรงตามความจริงมากกว่า (ตรงนี้ถ้าใครสงสัยลองหาข้อมูลเรื่องสถิติดูเองนะ) ก็จะได้เท่ากับ 13.77% ต่อปี

แล้วถ้าเรามาดูผลตอบแทนเฉลี่ยย้อน 10 ปี ในแต่ละช่วงเวลา ของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือว่า SET TRI กันดู

ผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลัง 10 ปี ของตลาดหลักทรัพย์ (SET TRI)
ปี 2545 – 2554 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 17.72%
ปี 2546 – 2555 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 19.52%
ปี 2547 – 2556 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 9.78%
ปี 2548 – 2557 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 12.98%
ปี 2549 – 2558 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 10.46%
ปี 2550 – 2559 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 12.88%
ปี 2551 – 2560 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 11.61%
ปี 2552 – 2561 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 17.83%
ปี 2553 – 2562 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 11.82%

jumboslot

ช่วงที่ต่ำสุดที่ผลตอบแทนเฉลี่ยยังเท่ากับ 9.78% ต่อปี ก็คือช่วง ปี 2547 – 2556
แล้วแต่ถ้าเรามาดูผลตอบแทนย้อนหลัง 7 ปีในแต่ละช่วงเวลาดูกันบ้าง

ผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลัง 7 ปี ของตลาดหลักทรัพย์ (SET TRI)
ปี 2545 – 2551 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 9.55%
ปี 2546 – 2552 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 15.69%
ปี 2547 – 2553 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 8.85%
ปี 2548 – 2554 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 11.19%
ปี 2549 – 2555 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 14.97%
ปี 2550 – 2556 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 14.41%
ปี 2551 – 2557 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 12.82%
ปี 2552 – 2558 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 21.30%
ปี 2553 – 2559 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 15.36%
ปี 2554 – 2560 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 11.61%
ปี 2555 – 2561 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 9.70%
ปี 2556 – 2562 ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 5.13%

slot

จะเห็นได้ว่ามีช่วงที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่า 8% อยู่ช่วงหนึ่งก็คือช่วงปี 2556 – 2562 ได้อยู่ที่ 5.13% แต่ถ้าเราไปดูที่ระยะสั้นขึ้นที่ 6 ปี ผลตอบแทนช่วงที่ต่ำที่สุดจะตกไปเหลือ 3.44% ต่อปี และมีช่วงที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่า 8% ถึง 4 ช่วงเวลาจากทั้งหมด 13 ช่วงเวลา แล้วยิ่งถ้าลงทุนเพียงแค่ 5 ปี ผลตอบแทนช่วงที่ต่ำที่สุด ต่ำสุดถึง -7% ต่อปีเลยทีเดียว

ทั้งหมดนี้เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมพี่ทุยต้องย้ำเสมอว่า… ถ้าเราคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น อย่างเช่น ผลตอบแทน 8-10% พี่ทุยแนะนำให้ลงทุนอย่างน้อย “10 ปีขึ้นไป” เพราะโอกาสที่เราจะขาดทุนจะน้อยลง แล้วผลตอบแทนคาดหวังจะสูงขึ้น

ส่วนตัวพี่ทุยแล้ว สำหรับมือใหม่พี่ทุยมักจะแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมมากกว่าซื้อหุ้นรายตัว เพราะอย่างน้อย ๆ ก็มีมืออาชีพคอยดูแลเงินให้กับเราอยู่ แล้วเราก็สามารถเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่เราชอบได้ด้วยกองทุนรวมหุ้น หลาย ๆ กอง ผลตอบแทนสูงกว่า 8-10% ต่อปีในระยะยาว ๆ ก็มีให้เห็นเรื่อย ๆ หรือไม่ก็เลือกลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (Passive Fund) เป็นการลงทุนล้อเลียนดัชนีไปเลย เราก็จะได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับตลาด

กองทุนแบบActive

เมื่อเราเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนในกองทุนรวม “กองทุนแบบ Active” และ Passive สองคำนี้ต้องเป็นอะไรที่เราคุ้นเคยแน่นอน วันนี้พี่ทุยเลยจะมาพูดถึงความแตกต่างของกองทุนสองแบบนี้กันซะหน่อยว่ามีข้อดีและเสียแตกต่างกันยังไงบ้าง ?

jumbo jili

พี่ทุยขอพูดถึงกรณีของกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นเป็นหลักก่อนละกัน เพราะจะเห็นความแตกต่างของกองทุนแบบ Active (Active Fund) และแบบ Passive (Passive Fund) กันค่อนข้างชัดเจนเลยล่ะ

มาเริ่มที่เจ้า Active Fund กันก่อนเลย ตามชื่อกองทุนก็จะมีการบริการแบบ Active คือ ผู้บริหารกองทุนต้องพยายามเอาชนะ มาตรฐาน (Benchmark) ที่ตั้งไว้ เช่น Set 100 , Set 50 เป็นต้น พูดง่าย ๆ คือเล่นหุ้นยังไงก็ได้ ให้ได้ผลตอบแทน “ชนะ” ดัชนีพวกนี้แหละ ยิ่งทำผลตอบแทนได้มากกว่าตลาดเท่าไหร่ ยิ่งเป็นกองทุน Active ที่ดีเท่านั้น

ส่วนกองทุนเป็น Passive Fund อันนี้เข้าใจง่ายมาก ผู้บริหารกองทุนไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ลงทุนตาม Benchmark เลย งานง่าย ๆ ส่วนใหญ่จะใช้แค่โปรแกรมหรือ Robot คอยปรับพอร์ต กองทุน Passive ที่ดีต้องเป็นกองทุนที่ผลตอบแทนเหมือนตลาดให้มากที่สุดหรือมาตรฐาน (Benchmark) ของกองทุนนั้น ๆ

สล็อต

“กองทุนแบบ Active” (Active Fund) ก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน
แน่นอนว่ากองทุนแต่ละประเภทก็มีข้อจำกัดอยู่ ไม่ได้มีแต่ข้อดี เรามาเริ่มกันที่ Active Fund กันก่อน ข้อจำกัดของกองทุนประเภทนี้ก็คือ ถ้าผู้บริหารกองทุนเกิดเลือกหุ้นพลาดหรือทำผลตอบแทนแย่กว่าตลาดขึ้นมา คนที่จะขาดทุนจริงๆก็คือตัวเราเอง

เพราะกองทุน Active เค้าจะมีค่าบริหารกองทุนที่ค่อนข้างสูง เวลาซื้อก็เสียค่าธรรมเนียม แล้วก็ยังเสียค่าบริหารรายปีอีก นั่นแปลว่าอย่างน้อยที่สุดกองทุนแบบ Active ก็ควรทำผลตอบแทนให้ชนะตลาดได้ อย่างน้อย ๆ ก็เท่ากับค่าบริหารจัดการที่ตัวเองเรียกเก็บ ซึ่งอันนี้เราในสถานะนักลงทุนก็ต้องเลือกกองทุนให้เป็นด้วยเช่นกัน

สล็อตออนไลน์

กองทุนแบบ Passive (Passive Fund) ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี
ทีนี้เรามาดูที่กองทุนแบบ Passive ข้อดีของเค้าเลยก็คือค่าธรรมเนียมต่ำมาก !! แทบจะไม่คิดค่าธรรมเนียมเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ต้องใช้ทรัพยากรเยอะเท่าไหร่ แค่ทำตัวเหมือนตลาดหรือลอกตลาดเป็นอันใช้ได้ แต่ข้อจำกัดของกองทุนแบบ Passive ก็คือเวลาที่ดัชนีไม่วิ่งไปไหน เราไม่ต้องหวังกำไรจากกองทุนแบบ Passive เลย ตัวอย่างก็มีให้เห็นอย่างตลาดหุ้นไทย ถ้าใครซื้อตอนปี 2013 ช่วง SET Index 1,600 ผ่านมา 5 ปีเต็มๆกว่าจะเห็นกองทุนตัวเองกำไรเพราะว่าช่วงนี้ SET บ้านเราทะลุ 1,600 ขึ้นมาได้ ถ้าในสภาวะที่ดัชนีไม่วิ่งไปไหน การที่เราใช้กองทุนแบบ Active ก็ดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่า

แต่ถ้าเราไปอ่านตำราโดยเฉพาะตลาดต่างประเทศอย่างอเมริกามักจะแนะนำให้ลงทุนกองทุนแบบ Passive มากกว่า Active เพราะตลาดหุ้นของอเมริกามีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และหุ้นเยอะ การที่ผู้จัดการกองทุนจะทำผลตอบแทนให้ชนะตลาดตลอดเวลาในระยะยาวเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ดังนั้นการลงทุนที่ดีคือ “เลียนแบบ” ตลาดไปเลยง่ายที่สุด

jumboslot


แล้วพอมามองที่ ตลาดหุ้นของไทย ตลาดยังถือว่า “เล็กมาก” เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอเมริกา เหมือน “ขี้เล็บ” เลยก็ว่าได้ เพราะว่ามูลค่าตลาดหุ้นของไทยเล็กมาก

ทำให้การหาหุ้นยังสามารถทำได้ไม่ยากมาก เพราะหุ้นทั้งตลาดของไทยตอนนี้ยังแค่หลักร้อยตัวเอง แล้วพอดูผลตอบแทนย้อนหลังผลตอบแทนของกอง Active ค่อนข้างดีกว่า (เอากองผลตอบแทนอันดับต้น ๆ มาเทียบ) ถ้าให้ตอบตอนนี้คงตอบว่ากอง Active ยังดีกว่า แต่ต้องเลือกกองทุนให้เป็นด้วยนะ ไม่ใช่ปิดตาแล้วจิ้มเลือก แบบนี้พี่ทุยจะจิ้มตาให้

slot

แต่ยังไงพี่ทุยก็แนะนำว่า ซื้อมันทั้ง 2 แบบนั่นแหละ ฮ่า “การกระจายการลงทุน” เป็นสิ่งที่ควรทำอันดับแรก ๆ และกองทุนทั้งสองแบบก็ถือว่าน่าสะสมเก็บไว้ไม่ใช่เล่น ในระยะยาวพี่ทุยเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังไปอีกไกล การเก็บสะสมไว้ในระยะยาว พี่ทุยว่าสบายนะ แต่กองทุนแบบ Active ต้องอาศัยผู้จัดการกองทุน ซึ่งในระยะยาวไม่มีใครบอกได้ว่า จะทำได้ดีตลอดหรือเปล่า ?

สุดท้ายแล้วเราจะเลือกลงทุนแบบไหน เราจำเป็นที่จะต้อง คิด วิเคราะห์ ด้วยตัวเอง แล้วเตรียมรับผลตอบแทนและความเสี่ยงที่มันจะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจด้วยตัวเอง วิธีการแบบนี้แหละคือวิธีที่ดีที่สุดแล้วสำหรับการลงทุนในระยะยาว

ขั้นตอนการเลือกกองทุนรวม

“กองทุนรวม” เป็นสินค้าทางการเงินที่เหมาะกับคนที่ทำงานประจำหรือเป็นมนุษย์เงินเดือน เพราะเราจำเป็นต้องแบ่งเวลามาทำงานของตัวเอง และก็คงจะไม่มีเวลามาดูแลเรื่องการลงทุนสักเท่าไหร่

jumbo jili

หลาย ๆ ครั้งก็มีการลงทุนบางประเภทที่เราก็เข้าไม่ถึง เช่น พันธบัตรรัฐบาล ที่โดยปกติต้องซื้อผ่านการประมูลและจำเป็นต้องใช้เงินหลายล้านบาท มนุษย์เงินเดือนแบบเรา ๆ ที่มีเงินเดือนหลักหมื่นคงไม่มีปัญญาเข้าถึง แต่เราก็สามารถลงผ่านกองทุนรวมได้ ซึ่งการลงทุนใน “กองทุนรวม” ก็มีมืออาชีพช่วยดูแลอีกทางนึงด้วย

สำหรับนักลงทุนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนที่อยู่นอกสายการเงินที่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาและติดตามเรื่องการลงทุนมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะสนใจกองทุนรวม แต่คำถามยอดฮิตที่พี่ทุยเจอ คือ กองทุนไหนน่าลงทุนที่สุด ? บทความนี้พี่ทุยจะพามาหาคำตอบกับขั้นตอนการเลือกกองทุนรวม ถึงแม้ว่าอาจจะเยอะหน่อย แต่พี่ทุยอยากให้อ่านจริง ๆ เพราะมันคุ้มค่ากับการเสียเวลาอ่านแน่นอน

  1. ก่อนซื้อ “กองทุนรวม” ต้องสำรวจตัวเองกันก่อน
    ว่าเราต้องการอะไรจากการลงทุน ลองถามตัวเองสำคัญที่สุด อย่าไปตามคนอื่น เช่น อยากลงทุนในสินทรัพย์อะไร หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ ทองคำหรืออสังหาริมทรัพย์ แล้วต้องการปันผลมั้ย ความเสี่ยงที่รับได้เป็นยังไง ? และระยะเวลาในการลงทุนจะลงนานแค่ไหน ?

และที่สำคัญ ถึงแม้จะลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีมืออาชีพคอยดูแลอยู่ ก็ควรมีความรู้ความเข้าใจในลักษณะของ “สินทรัพย์” ที่กำลังจะลงทุนด้วย เพราะอย่าลืมว่าถ้าสินทรัพย์ที่เรากำลังจะลงทุน อยู่ในจังหวะที่ไม่เหมาะต่อการลงทุนหรืออยู่ในช่วงขาลงก็ยากที่กองทุนรวมจะได้กำไรเช่นกัน

สล็อต

ขั้นตอนแรกจึงต้องเริ่มต้นสำรวจที่ความต้องการของเราก่อนเสมอ เราจะได้รู้ว่าเราควรเลือกดูกองทุนประเภทไหน แล้วจะได้หยิบจับกองทุนรวมที่น่าสนใจมาเปรียบเทียบกันได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง

  1. ดูรายละเอียดผ่าน Fund Fact Sheet ทุกครั้ง
    ดูได้จากสิ่งที่มีชื่อเรียกเท่ ๆ ว่า “Fund Fact Sheet” แต่ไม่ต้องสับสนหรือตกใจว่ามันยาก เพราะใน Fund Fact Sheet นั้นบอกเราเกือบทุกอย่าง ว่ากองทุนนั้นมันเป็นยังไง ไม่ว่าจะนำเงินที่เราลงทุนไปลงทุนในอะไร ขนาดกองทุน จ่ายปันผลมั้ย ขั้นต่ำที่ซื้อได้ครั้งละเท่าไร แล้วก็พวกค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ก็บอกด้วยทั้งหมดเช่นกัน

นอกจากนี้ก็ยังมีพวก อายุของกองทุน ว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะแค่ไหน สภาพคล่องของกองทุน บางกองก็ไม่สามารถขายได้ทันที ควรศึกษาให้ละเอียดหน่อย เพื่อสอดคล้องเป้าหมายการลงทุนของเรา พวกเอกสารก็โหลดได้จากหน้า Website ของ บลจ. ที่ดูแลกองทุนนั้นได้เลย ช่วงแรกอาจจะงง ๆ หน่อย สักพักเราจะอ่านได้คล่องมากขึ้นเอง

  1. กองทุนที่ดีต้องให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ
    เคยซื้อหวยแล้วถูกบ้างมั้ย ? ตอนที่เราถูกเราคงรู้สึกว่าเราเนี้ยโชคดีสุด ๆ ไปเลย สำหรับพี่ทุยคิดว่ากองทุนรวมก็เหมือนกัน บางกองทุนผลตอบแทนอาจจะดีมากอยู่แค่ 1 ปี ถ้าเป็นลักษณะนี้ก็สรุปไม่ได้ว่ากองทุนรวมนั้นดีจริง เพราะอาจจะแค่โชคดีก็เป็นไปได้

สล็อตออนไลน์

สิ่งที่พี่ทุยดูเสมอคือ “ผลตอบแทนย้อนหลัง” ถ้ามันดีมาอย่างสม่ำเสมอก็เป็นกองทุนที่น่าสนใจ และแน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้หาได้จาก Fund Fact Sheet ได้เช่นกัน

  1. ถึงจะเป็นกองทุนก็มีความเสี่ยง
    เมื่อขึ้นชื่อว่าการลงทุนแน่นอนว่าต้องมีความเสี่ยง ความเสี่ยงที่การลงทุนจะทำผลตอบแทนไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งกองทุนรวมก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน

ตัวเลขที่เราสามารถวัดค่าความเสี่ยงได้คือ Standard Deviation หรือ S.D. ค่ายิ่งสูง แปลว่า ยิ่งเสี่ยง แต่การใช้ตัวเลขตัวนี้เหมาะกับการเปรียบเทียบกองทุนรวมที่ลงทุนในแหล่งเดียวกันเท่านั้น เช่น กองทุนรวมหุ้นเหมือนกัน หรือกองทุนตราสารหนี้เหมือนกัน

พี่ทุยขอแนะนำ Sharpe Ratio ความหมายง่าย ๆ คือ ยิ่งสูงยิ่งดี หากดูกองทุนที่ประเภทเดียวกันแล้วกองทุนกองไหน Sharpe Ratio สูงกว่า แสดงว่ากองทุนรวมนั้นสามารถทำผลงานได้น่าสนใจกว่า

jumboslot

  1. ตรวจสอบและติดตามอย่างต่อเนื่อง
    ถึงแม้การลงทุนผ่านกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนคอยปรับพอร์ตการลงทุนให้เราอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ห้ามลืมโดยเด็ดขาดเลยก็คือ “การตรวจสอบและติดตาม” กองทุนรวมที่เราลงทุนอย่างน้อยทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่ากองทุนรวมที่เราเลือกลงทุนอยู่ยังเป็นกองทุนรวมที่ดีและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า “มาตรฐานการดำเนินงาน (Benchmark)” และกองทุนคู่แข่งอยู่เสมอ หรือถ้ามีผลการดำเนินงานที่ต่ำลง เราก็ควรไปเจาะลึกดูพอร์ตการลงทุนของกองทุนรวมอีกครั้งนึงว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้ววิเคราะห์ถึงสาเหตุนั้นว่าเป็นเพราะอะไร

ถ้าตรวจสอบแล้วยังเป็นกองทุนที่ดีก็สามารถถือลงทุนต่อได้ แต่ถ้าดูแล้วไม่น่าไหว เราก็อาจจะขายแล้วเปลี่ยนไปเลือกกองทุนรวมที่ดี ข้อดีของการลงทุนผ่านกองทุนรวมก็คือ เราสามารถหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเราเองได้เสมอ

slot

เห็นแล้วใช่มั้ยว่าการลงทุนใน “กองทุนรวม” ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ใคร ๆ ก็สามารถเริ่มต้นลงทุนกองทุนรวมได้ คนเราแค่กลัวในสิ่งที่เราไม่รู้เท่านั้นเอง พออ่านถึงตรงนี้เราก็มีความรู้พร้อมที่จะไปลงทุนกองทุนรวมแล้ว เวลาเลือกซื้อของยังเลือกแล้วเลือกอีก เลือกลงทุนทั้งทีก็ต้องเปรียบเทียบให้เต็มที่เพื่อให้เราได้ของดีที่สุดนั่นเอง

แต่สำหรับบางคนอาจจะยังลังเลอยู่อีกว่า เราจะเลือก กองทุนรวมหรือหุ้นดีกว่ากัน แต่ไม่ว่าจะเลือกอะไรก็ตาม เราก็ยังจำเป็นต้องศึกษาเรื่องการลงทุนเอาไว้ให้มาก เพราะถ้าเรารู้และมีข้อมูลมากเพียงพอแล้ว เราก็จะเลิกกลัวและกลายเป็นนักลงทุนที่เก่งและประสบความสำเร็จกับการลงทุนอย่างแน่นอน