
รามเกียรต์ 154
กุมภกรรณลาพี่ชายออกจากท้องพระโรงโดยไม่สบตาใคร ประกาศกร้าวที่หน้าพระลาน “หากคืนพรุ่งนี้กูไม่ได้หัวเจ้ารามลักษณ์ ไม่ได้เลือดหนุมานมาขัดบัลลังค์อสุรวงศ์… กูจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก” พญากุมภกรรณไม่เคยแน่วแน่อย่างนี้มาก่อน ตะโกนก้องสั่งกรีฑาพลกลางดึก “นนทกาล เสนีแห่งเรา เจ้าจงเกณฑ์พลให้พร้อมสรรพ จงคัดเอาแต่ยอดขุนพลมารซึ่งไร้ความปราณี พร้อมจะบดขยี้ศัตรูได้ทุกเมื่อ…”
จัดหมู่จัตุรงค์องอาจ เลือกล้วนสามมรถแกล้วกล้า
ขุนช้างขี่ช้างชนะงา กุมของ้าวง่ากรีดกราย
ขุนม้าถือหอกกลอกกลับ ขี่ขับรวดเร็วเฉิดฉาย
ขุนรถขี่รถเรียงราย ล้วนถือทองปรายหยัดยัน
พลเท้าล้วนเหล่าคำแหง โตดำล่ำแรงแข็งขัน
ถือคาบศิลารำพัน บ้างกุมเกาทัณฑ์ลูกยา
ต่างตนต่างอวดฤทธิรุทร กวัดแกว่งอาวุธเงื้อง่า
เตรียมทั้งรถทรงอลงการ์ คอยเสด็จพญาอสุรี พระราชนิพนธ์ในร.1
ตั้งแต่ฝ่ายลงกาเริ่มการศึกรามลักษณ์ ครั้งนี้คือการจัดทัพที่เต็มรูปแบบที่สุด ให้ทหารอาชีพเฉพาะกรมกองออกรบอย่างมีแบบแผนโดยสมบูรณ์ เพราะครานี้กุมภกรรณต้องการชัยชนะอย่างเด็ดขาด รบพุ่งแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่มีคำว่ายืดเยื้อ พอจัดทัพอย่างครบครันตามตำราแล้วกุมภกรรณกลับเข้าปราสาทเพื่อเอนกายเอาแรง แต่ก็ยังนึกแค้นแทนหมู่ญาติมิตรที่ต้องมาเสียทีแก่พวกลิงป่า แต่คิดๆไปก็ต้องยอมรับว่าตนคาดการผิดมาตลอด พวกมนุษย์และลิงป่ามีความเก่งกล้าสามารถมากกว่าประเมิณไว้มาก แล้วหนำซ้ำยังมาได้พิเภกผู้รู้กลศึกในหมู่ยักษ์ชนิดรู้ไส้ถึงพุง ขนาดพระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ยอดอาวุธแห่งเทพก็ยังอุตส่ารอดมาได้ พระมหาอุปราชแห่งลงกาวุ่นวายใจยิ่งนัก จะข่มตาหลับก็ลง พลิกตัวไปมาซ้ายขวาทั้งคืน
พอพระอาทิตย์เปร่งแสงแรกสู่ขอบฟ้า พญามารรีบลุกขึ้นอาบน้ำชำระร่างกาย แต่งตัวออกศึก
สุหร่ายแก้วโปรยปรายเป็นสายฝน ทรงสุคนธ์เฟื่องฟุ้งด้วยบุปผา
สอดใส่สนับเพลาอลงกรณ์ ภูษารูปกินรีรำ
ฉลององค์ทรงประพาสพระกรน้อย เกราะพลอยมรกตเขียวขำ
รัดอกรายบุษราคัม ประจำยามตาบทิศสังวาลวัลย์
เฟื่องห้อยพลอยแก้งมุกดาหาร ทับทรวงดวงประพาฬทับทิมคั่น
พาหุรัดทองกรมังกรพัน ธำรงค์เรือนสุบรรณกางกร
ทรงกุณฑลเกล็ดเพชรรัตน์ กรรเจียกแก้วจำรัสประภัสสร
จับมหาธนูฤทธิรอน บทจรขึ้นรถสุรกานต์
พระราชนิพนธ์ในร.1