
รามเกียรติ์ 255
ทัพจากอัศดงศ์และจารึกถึงหน้าเมืองลงกาพร้อมๆกัน วิรุญจำบังลงจากหลังม้าตัวโปรด ตรงรี่เข้ากราบพญาสัทธาสูรผู้อวุโสกว่า สัทธาสูรประคองพิจารณายักษ์หนุ่มด้วยความชื่นชม “นี่คงเป็นวิรุญจำบังหลานชายคนโปรดของทศกัณฐ์หละสินะ หน้าตาเจ้าไม่ต่างกับลุงของเจ้าตอนหนุ่มๆเลย”
จากนั้นเจ้าทั้งสองนครก็ชวนกันเสด็จเข้าสู่เมืองลงกา โดยทั้งสองทัพเดินตีคู่เสมอกันไปอย่างเท่าเทียม แต่วิรุญจำบังจะชลอม้าให้รถทรงของสัทธาสูรนำหน้าอยู่ครึ่งช่วงม้า โดยถือเป็นการถวายเกียรติต่อเจ้าแห่งอัศดงค์จนถึงมหาปราสาทของทศกัณฐ์ สองราชามารลงจากพาหนะแล้วเสด็จเข้าสู่ท้องพระโรงแห่งลงกาอย่างคุ้นชิน
ทศกัณฐ์ถลาลงจากบัลลังค์เมื่อเห็นเพื่อนรักเดินนำหน้ามาแต่ไกล เข้าสวมกอดสัทธาสูรผู้ที่ไม่ได้พบกันเสียนาน จากนั้นพญาทศกัณฐ์ประคองวิรุญจำบังขึ้นมาจากพื้น “ข้าดีใจยิ่งนักที่ได้พบมิตรแท้และหลานรักในเวลาเดียวกัน… มามะสัทธาสูรมานั่งบนรัตนบัลลังค์เสมอข้า วิรุญจำบังหลานลุงไม่ได้พบกันนาน…หล่อเหลาเหมือนลุงตอนหนุ่มๆเลย พ่อคนดีลุกขึ้นไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร มามะ…มานั่งที่แท่นมหาอุปราชทางนี้มา”
ทศกัณฐ์เป็นยักษ์ที่มีเสน่ห์แห่งยุคใครได้ลองสนทนาด้วยเป็นอันตกหลุมรักทุกหน้าไป ในฉบับของอินเดียบรรยายว่าหากเวลาต่อสู้กันพระรามมักจะบังคับไม่ให้ตนมองทศกัณฐ์ในระยะใกล้ เพราะจะรู้สึกเกรงขามแบบไม่สามารถวางตาชื่นชมความสง่างามของศัตรูได้จนพระลักษณ์ต้องเตือนอยู่เสมอ
ทั้งสามกษัตริย์ต่างถามสารทุกข์กันพองามแล้วก็เข้าประเด็นแห่งปัญหา ทศกัณฐ์เล่าว่าสองมนุษย์และกองทัพลิงสร้างความเดือดร้อนให้ลงกาต่างๆนาๆ สัทธาสูรรีบออกปากว่าจะช่วยออกรบให้เอง ทศกัณฐ์ยินดียิ่งนักเข้ากอดเพื่อนรักอย่างแนบแน่ แต่วิรุญจำบังกลับนั่งนิ่งมิแสดงอารมณ์ใดๆ