
รามเกียรติ์ 100
พิเภกขอลาลูกเมียก่อนจาก “เบญกายลูกรัก พ่อต้องออกจากลงกาเพราะทำนายฝันให้เหนือหัวตามความจริง จนท่านระแวงว่าพ่อจะเข้ากับพระรามจึงโดนขับออกจากลงกา ลูกต้องดูแลแม่ จงรักษาตัวนะคนดีของพ่อ” แล้วหันหน้ามาทางนางตรีชฎาภริยา “ตรีชฎา อย่าร้องไห้ เธอต้องเข้มแข็งเพื่อลูก จงไปอยู่ที่สวนขวัญ ดูแลพระแม่สีดาให้ดีเหมือนดูแลลูก นางเป็นมากกว่าที่เราเห็น สีดาคืออนาคตของครอบครัวเรา แล้วอีกไม่นานพี่จะกลับมา”
เมื่อถึงเวลามโหทรเข้ามาเชิญให้พญาพิเภกออกเดินทาง ทั้งสามพ่อ แม่ ลูกร้องไห้จนน้ำตาแห้ง กอดกันแน่นเป็นครั้งสุดท้าย “จากนี้จะไม่มีใครคุ้มเกล้าตรีชฎาอีกแล้ว” แต่กลับเป็นเบญกายผู้เป็นลูกสาวที่มีสติก่อนแล้วปลอบใจพ่อแม่ว่า “ลูกจะเร่งทำความชอบแด่เสด็จลุง เพื่อพ่อจะได้กลับมา แม่จะได้สุขสบายอย่างเคย เชิญเสด็จเถิดท่านพ่อ อย่างกังวลทางนี้เลย ลูกเชื่อในตัวพ่อ”
พิเภกปาดน้ำตาเบือนหน้าหนีจากลูกเมีย เดินตามมโหทรไปที่เรือสำเภาใหญ่ ใบเรือกินลมแรงออกจากปากอ่าวลงกาข้ามมหาสมุทรไปสู่แผ่นดินภารตะ แล่นมาสักพักต้องเปลี่ยนเป็นเรือสำปั้นเพื่อเข้าฝั่งแผ่นดินใหญ่ มโหทรส่งพิเภกขึ้นที่ฝั่งเป็นอันหมดหน้าที่ กลับหัวเรือเพื่อกลับลงกา
พญาพิเภกเดินเค้วงที่ชายหาด จะกลับลงกาก็ไม่ได้ ไม่รู้จะไปทางไหน จึงจับยามดู แน่ใจว่าไม่ตกอับแน่นอน จะมีผู้อุปถัมถ์จากทิศตะวันออก จึงเสี่ยงที่จะเดินหาค่ายศัตรูดู เดินไปเภวนาชื่อพระรามไป หิวก็หิว ร้อนก็ร้อน เศร้าก็แสนเศร้า แต่ก็ต้องเดินอย่างน้ำตานองหน้า อดทนพูดชื่อศัตรู ทนเดินอย่างไร้ศักดิ์ศรีเพราะนี่คือทางเลือกเดียวที่มีของชีวิต…
นิลเอก วานรหนึ่งในสิบแปดมงกุฎแห่งกองทัพพระราม นำพลลิงกองลาดตะเวน ออกจากป่ามาสำรวจบริเวณชายหาด ได้ยินเสียสะอื้นแว้วมาแต่ไกล พอฟังๆดูได้ยินชื่อพระราม จึงให้พลลิงหยุดตีฆ้อง สงบเสียงแล้วเดินตามจนพบเจ้าของเสียผู้เป็นยักษ์ร่างใหญ่ ทหารลิงคิดว่าพิเภกจะมาบุกค่าย นิลเอกจึงสั่งให้ทหารรุมเข้าจับมัดมือ แล้วคุมตัวให้แน่นหนาแล้วรีบจูงเข้าไปในค่ายเพื่อส่งต่อให้นายขำระความ พญาพิเภกขณะนี้ได้แต่หลับตารับสภาพเพราะเพลียจากการเดินทาง เพลียจากแดดที่ร้อนอากาศที่อบอ้าว เพลียกับชีวิต